วันที่ 4 มี.ค.66 ที่ บช.สอท.พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอฝากเตือนมิจฉาชีพประกาศโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เปิดบริษัทรับสร้างบ้านน็อกดาวน์ สร้างความเสียหายหลายล้านบาท ดังนี้
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บช.สอท. ดำเนินการจับกุมตัวผู้ต้องหา อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันและร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนฯ ” ส่ง พงส.บก.สอท.4ดำเนินดดีตามกฎหมาย
โดยแผนประทุษกรรมของผู้ต้องหา คือ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายพบ บริษัทของผู้ต้องหาประกาศโฆษณาผ่านช่องสื่อสังคมออนไลน์ว่า รับสร้างบ้านน็อกดาวน์ โดยมีการลงผลงานสร้างความน่าเชื่อถือ มีผู้ติดตามหลายราย ผู้เสียหายจึงติดต่อไปยังผู้ต้องหา จากนั้นได้ทำสัญญาสร้างบ้านพัก ผู้ต้องหาได้แจ้งผู้เสียหายว่า บ้านน็อกดาวน์เป็นบ้านที่ต้องมีการสร้างโครงสร้างตัวบ้านที่โรงงานของผู้ต้องหา เมื่อเสร็จแล้วจะนำโครงสร้างบ้านไปติดตั้งที่ดินของผู้เสียหาย โดยระหว่างนั้นผู้ต้องหามักจะขับรถยนต์หรู และได้ส่งรูปภาพความคืบหน้าให้ผู้เสียหายมาโดยตลอด ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินจ่ายค่างวดเป็นระยะๆ จำนวนหลายล้านบาท แต่หลังจากนั้นผู้ต้องหาบ่ายเบี่ยงไม่สามารถให้ตรวจสอบบ้านดังกล่าวได้ และไม่สามารถติดต่อได้ในเวลาต่อมา จึงเชื่อว่าถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหาย จึงได้มาแจ้งความต่อ พงส.ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป
ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบในด้านงานป้องกันปราบปราม ได้ให้ความสำคัญและมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมสร้างการรับรู้แนวทางป้องกันให้ประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว จึงได้กำชับสั่งการให้ทุกกองบังคับการในสังกัด เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างต่อเนื่องและจริงจัง มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกราย รวมถึงประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันภัยจากสื่อสังคมออนไลน์มีหลายรายรูปแบบ รูปแบบที่กล่าวมานั้นถือเป็นหนึ่งในแผนประทุษกรรมของมิจฉาชีพ โดยมักจะสร้างความน่าเชื่อถือเป็นอันดับแรกให้เหยื่อหลงเชื่อจากการใช้เทคโนโลยีในการกระทำความผิด ขอฝากกรณีดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์เพื่อเตือนภัยประชาชนที่อาจหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และฝากเตือนถึงแนวทางการป้องกันการถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว ดังนี้
1.บริษัทผู้รับเหมามีที่ตั้ง หรือที่อยู่ชัดเจน เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นสำนักงานรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนพาณิชย์ถูกต้องตามกฎหมาย
2.ไม่เลือกผู้รับเหมาที่เสนอราคาต่ำเกินไป อาจจะตั้งใจมาหลอกลวง ของถูกและดีไม่มีในโลก ควรเลือกผู้รับเหมาที่เสนอราคากลางๆ เมื่อเทียบกับข้อเสนอราคาของผู้รับเหมาเจ้าอื่นๆ
3.ผู้รับเหมาสามารถพาไปเยี่ยมชมผลงาน ประวัติการทำงานที่ผ่านมาได้
4.ระมัดระวังการติดต่อผู้รับเหมาผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มักสร้างความน่าเชื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ
5.ตรวจสอบรายชื่อผู้รับเหมาจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หรือช่องทางสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ ประกอบว่าบริษัทดังกล่าวมีประวัติไม่ดีหรือไม่
6.แบ่งการจ่ายเงินออกเป็นงวดๆ เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าเป็นระยะๆ
7.ทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้งก่อนเริ่มจ้าง โดยอ่านสัญญาอย่างละเอียดป้องกันการถูกเอาเปรียบ
ทั้งนี้หากพบข้อขัดข้องใดๆ ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สายด่วนหมายเลข 1441 หรือหมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 ตลอด 24 ชั่วโมง และ www.thaipoliceonline.com