วันที่ 2 มีนาคม 2566 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงกรณีการจัดเก็บ "ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา" ว่า บทบาทในการเป็นแหล่งรายได้ พบว่า ในช่วงปี 2556 - 2564 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อรายได้จากภาษีทั้งหมดที่รัฐจัดเก็บ มีสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ 12.2 – 13.7 และหรือประมาณร้อยละ 2.09 ของ GDP ซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประทศกลุ่ม OECD ที่มีสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 24.1 ขณะที่ในการลดความเหลื่อมล้ำ "ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา" มีส่วนช่วยให้ความเหลื่อมล้ำลดลงได้ตลอดช่วงปี 2513 – 2558 แต่ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากภาพรวมอัตราภาษีมีลักษณะที่ก้าวหน้าน้อยกว่าหลายประเทศ ชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาภาษีเงินได้ของไทย ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ให้แก่รัฐและจัดสรรทรัพยากรเพื่อนำมากระจายใหม่ (redistribution) ได้มากนัก

ซึ่งสาเหตุสำคัญ มีดังนี้ 1.แรงงานไทยเกือบ 3 ใน 4 อยู่นอกระบบภาษี โดยมีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 38.8 ล้านคน เป็นลูกจ้างที่มีรายได้จากค่าจ้างและเงินเดือนจำนวน 18.6 ล้านคน แต่มีผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องยื่นภาษีของกรมสรรพากรเพียง 10.8 ล้านคนเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 27.7 ของผู้มีงานทำทั้งหมด อีกทั้งสัดส่วนดังกล่าวยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ประชาชน มีรายได้เพิ่มขึ้น 2.ประเภทของเงินได้ที่ไม่ต้องเสียภาษีทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้ไม่เต็มที่และเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยมีเงินได้บางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีแต่กลับเป็นแหล่งรายได้ที่มีมูลค่าสูง และสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้มีเงินได้ได้มาก โดยเฉพาะกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

ส่วน 3.การหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนทำให้รัฐสูญเสียรายได้และสร้างความเหลื่อมล้ำ โดยกลุ่มผู้มีรายได้สูงมีแนวโน้มที่จะจ่ายภาษีลดลงจากการได้รับประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายที่มากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ ในขณะที่ปี 2564 การลดหย่อนภาษียังทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปกว่า 1.1 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.8 ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องชำระทั้งหมด

สำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรมีการดำเนินการ ดังนี้ 1. มีมาตรการในการนำคนทุกกลุ่มเข้ามาอยู่ในระบบภาษี โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบ โดยต้องมีการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นข้อจำกัดในการเข้าระบบภาษีของคนบางกลุ่ 2.ทบทวนการยกเว้นภาษีให้แก่รายได้บางประเภท โดยพิจารณาถึงความจำเป็นทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและไม่เป็นการเอื้อประโยชน์กลุ่มคนเพียงบางกลุ่ม 3.ทบทวนสิทธิประโยชน์การหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน โดยจะต้องมีการพิจารณาทบทวนเกณฑ์การหักค่าใช้จ่ายและอัตราลดหย่อนให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น โดยที่ยังสามารถช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนได้และไม่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้มากเกินจำเป็น 4.สื่อสารให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการจ่ายภาษี โดยการกำหนดนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง เนื่องจากการใช้งบประมาณเพื่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการจ่ายภาษี อันจะทำให้รัฐ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นและมีความมั่นคงทางการคลังตามมา

ทั้งนี้ โครงสร้าง "ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา" จำเป็นต้องมีการปรับอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในช่วงนั้น ๆ โดยในปัจจุบัน พบว่าโครงสร้างภาษีเดิมทำให้คนที่มีรายได้มากได้รับสิทธิการลดหย่อนมากกว่าคนที่มีรายได้ โดยเฉพาะการนำเอายอดการบริจารมาเป็นส่วน ลดหย่อนภาษี ซึ่งในปี 2563 มีสัดส่วนการลดหย่อนภาษีจากการบริจาคสูงกว่า 40%ขึ้นไป

ขณะที่การลดหย่อนภาษีส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียการจัดเก็บรายได้ในปี 2563 มากถึง 1.1 แสนล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างภาษีนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการอย่างรอบครอบต้องมีการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย โดยรายละเอียดว่าจะต้องมีการปรับโครงสร้างอย่างไรนั้นกระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด สภาพัฒน์เชื่อว่าหากสามารถปรับโครงสร้างภาษีและเรียกเก็บภาษีจากกลุ่มคนรวย ปรับรูปแบบการลดหย่อนที่ขณะนี้เอื้อให้คนมีรายได้สูงสามารถลดหน่อยได้จำนวนมาก ๆ แต่คนรายได้ต่ำกลับลดหย่อนภาษีได้น้อยนิดจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทีเกิดขึ้นในประเทศไทยได้