ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“มีคำถามแห่งชีวิตมากมายบนโลกนี้ ที่ไร้ค่าต่อการสร้างประโยชน์สุขอันแท้จริงให้แก่ชีวิต ในมุมตรงข้ามมันกลับทำลายคุณค่าที่ดีงามของความเป็นสามัญวิถีลงอย่างสิ้นเชิง..ไม่ให้พลังใจ ไม่เสริมสร้างแรงขับแห่งอนาคต นอกจากจะบั่นทอนความสุขและความหวังของคนเราลงจนถึงที่สุด...นั่นจึงมีส่วนให้อนาคตกาลของคนเรารอแต่ละคน ต้องแขวนอยู่กับความหมิ่นเหม่แห่งหายนะ ไม่รู้ผัสสะแห่งชีวิตที่ควรตระหนัก กระทั่งต้องจมปลักอยู่กับความผิดพลาดในการก้าวย่างแห่งชีวิต..จนแล้วจนเล่า...”
นี่คือ...ข้อสรุปแห่งประเด็นสัมผัสอันจริงจังและมีค่าจากหนังสือ “เปลี่ยนคำถาม ชีวิตเปลี่ยน” (The Question Behind The Question)..งานเขียนอันล้ำค่าที่มุ่งชี้ให้เห็นถึงอนาคตว่า...จะดีจะร้ายนั้น..มันขึ้นอยู่กับว่า ณ “ปัจจุบัน” เราตั้งคำถามไว้กับตัวเองอย่างไร?..
นั่นหมายถึงว่า..หนังสือเล่มนี้ได้ชี้ให้ผู้อ่านหยั่งเห็นว่า...คนเราทุกๆคนสามารถเปลี่ยนวิธีตั้งคำถาม โดยหันมาถามคำถามที่ดีกว่า ซึ่งเป็นคำถามที่จะช่วยให้เราควบคุมชีวิตของตนเองได้อย่างแท้จริง..หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบลง..ไม่ว่าเราจะเป็นคน..คิดบวก หรือ คิดลบ ก็ตาม.. “ที่สำคัญ..คุณรู้หรือไม่ว่า...ทุกครั้งที่คุณตั้งคำถามเหล่านั้น..ยังมีคำถามที่ดีกว่าซ่อนอยู่เสมอ”
“จอห์น จี. มิลเลอร์” ผู้ก่อตั้งบริษัท “QBQ” บริษัทที่ปรึกษาด้านพัฒนาองค์กร ผู้บรรยายและอบรม ให้แก่ทั้ง ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และภาคสังคม ไม่ว่าจะเป็นใน อเมริกัน เอ็กซ์เพรส หรือ ใน รอแยล แบงก์ ออฟ แคนาดา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม..เราสามาถจะเลือกได้ว่า..จะให้ความคิดและชีวิตของเราเป็นเช่นไร..ขอแค่รู้จักตั้งคำถามอย่างที่เกริ่นนำไปก็พอ..
“รับผิดชอบ” หรือ “โยนความผิด”
“สำเร็จ” หรือ “ล้มเหลว”
“รวย” หรือ “จน”
“เป็นที่รัก” หรือ “ถูกเกลียดชัง”
“มีความสุข” หรือ “ทุกข์ระทม”
หรือแม้กระทั่ง..
“ทำไมไม่มีใครสอนงานฉันสักที”
“ใครกันนะที่ทำพลาด”
“เมื่อไหร่ลูกค้าจะโทรกลับมาสักที”
“ทำไมฉันจึงโชคร้ายอย่างนี้”
เหล่านั้น..ล้วนเป็นคำถามที่คนส่วนใหญ่มักจะพร่ำถามกับตัวเองเวลาเผชิญกับปัญหา ทั้งที่ความจริงแล้ว คำถามเหล่านั้น ไม่เคยช่วยอะไรให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย..รังแต่จะทำให้ชีวิตของเราย่ำแย่ลงเท่านั้น..เพราะมันบ่งบอกว่า..ปัญหาทั้งหลายของคนเรา เกิดจาก “คนอื่น” และ “สิ่งอื่น” จนผลที่ตามมาก็คือ การมีส่วนที่จะไม่ลงมือทำอะไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลย..นั่นเอง..
ในบทสำคัญบทหนึ่ง... “จอห์น” ได้ก็ยกเรื่องราวของการเป็นผู้นำ ขึ้นมาเป็นตัวอย่างความคิดที่น่ารับฟังและชวนพินิจพิเคราะห์ยิ่ง...
... “คุณเป็นผู้นำหรือเปล่า...?” จอห์น..ได้ชี้เห็นถึงคำถามอันสำคัญนี้ต่อการเป็นผู้นำในทุกระดับ “ฉันเป็นผู้นำหรือเปล่า..หรือผู้จัดการของฉันที่เป็น หรือว่าจะเป็นประธานนำบริษัทของฉัน แล้วรองประธานฯบริษัทที่ดูแลส่วนงานของฉันล่ะ ใครกันแน่ที่เป็นผู้นำ” หรือไม่พวกเขาก็คงคิดกันว่า..
“บางทีผู้นำอาจเป็นเพื่อนร่วมงานของฉันที่ได้รับตำแหน่ง “หัวหน้าทีม” ก็ได้..
แต่แล้วผมก็ได้พบชายคนหนึ่งที่ไม่ได้มีคำถามทำนองนั้นอยู่ในหัวเลย ทันทีที่ผมถามกลุ่มคนที่มาร่วมสัมมนาว่า “พวกคุณเป็นผู้นำหรือเปล่า” ชายคนดังกล่าวก็ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมตะโกนว่า “ผมนี่แหละเป็นผู้นำ แน่นอนเลยครับ “จอห์น”..ผมนี่แหละ”
ผมถามเขาว่า.. “คุณชื่ออะไรครับ”..เขาตอบว่า “จิม ลีดเดอร์” อายุ 33 ปี...อย่างน้อยตลอดระยะที่ผ่านมา เขาไม่เพียงบอกได้ว่า “ผมเป็นผู้นำ” เท่านั้น แต่ยังพูดได้อย่างเต็มปากอีกด้วยว่า.. “ผมเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ”
นั่นชี้ให้เห็นถึงว่า...สิ่งสำคัญที่สุดคือวิธีคิดของเราเอง เราจำเป็นต้องฝึกฝนความคิดของเราอยู่ตลอดเวลา มันเป็นเรื่องของการฝึกฝนสำนึกรับผิดชอบ และเลือกที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยทำสิ่งดีๆ ไม่ว่าเราจะมีตำแหน่งหรือบทบาทใดๆก็ตาม..
ว่ากันว่า..การเลี้ยงดูลูก ถือเป็นการรับบทผู้นำที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ไม่ว่าคุณจะเป็นเพื่อนของใครบางคน เป็นอาสาสมัคร หรือเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อเพื่อนร่วมงานก็ตาม.. หลักการย่อมไม่แตกต่างกัน นั่นคือ.. “ถ้าเราเหมือนเป็นผู้นำ เราก็จะเป็นผู้นำ”
เหตุดั่งนี้..จึงเกิดความคิดและคำถามนี้ขึ้นมา.. “เกิดอะไรขึ้น กับความรับผิดชอบของคนเรา”
มันเป็นคำถามที่สะดุดตาสะดุดความคิดอย่างยิ่ง..เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย.. มันเกิดอะไรขึ้นกับความรับผิดชอบของคนเรากันแน่..ทำไมมันจึงดูเหมือนว่า..จริงไปแล้ว.สิ่งที่พวกเราทำกันเก่งเหลือเกินก็คือ..การโทษคนอื่นหรือสิ่งอื่นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา..ในการกระทำหรือแม้แต่ความรู้สึกของเราเอง..
ประเด็นคำถามนานาที่พรั่งพรูออกมา..ดูเหมือนเป็นความบริสุทธิ์ใจ แต่จริงๆแล้วกลับบ่งบอกถึงการรับผิดชอบ...มากกว่า และยังเป็นต้นเหตุของสารพัดปัญหา ที่รุมเร้าเราอยู่ในปัจจุบัน..แต่ในทางกลับกันการเปลี่ยนคำถามให้มาเน้นที่สำนึกรับผิดชอบมากขึ้น เป็นหนึ่งในวิธีที่เปี่ยมประสิทธิภาพและทรงพลังมากที่สุด เพื่อปรับปรุงองค์กรและชีวิตของเราเองให้ดีขึ้น...
“พรเลิศ อิฐฐ์” ถอดความหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างเข้มข้นและเข้าใจในบริบทของ ชีวิตและการเปลี่ยนคำถามอย่างแม่นตรงและถ่องแท้...นั่นจึงมีส่วนให้รสชาติของหนังสือเล่มนี้ สื่อแสดงถึงนัยของความรับผิดชอบอย่างมีพลัง..เราอาจพบกับเหตุการณ์ที่รวนเรและไร้ความรับผิดชอบนี้ผ่านชีวิตของเราอย่างจำเจชวนเบื่อหน่าย..โดยไม่อาจป้องกันอะไรได้..จงอย่าสยบยอมเช่นนี้..
เมื่อไหร่พวกโซเขาจะจัดการกับปัญหานี้นะ../เมื่อไหร่ลูกค้าจะโทรกลับมาหาฉัน../...เมื่อไหร่จะได้รู้ข้อมูลที่ต้องการ จะได้เริ่มตัดสินใจกันเสียที.../
...เมื่อเราถามว่าเมื่อไหร่..จริงๆแล้ว...เรากำลังบอกว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรอและเลื่อนการลงมือทำออกไป..การถามว่า “เมื่อไหร่” จะนำไปสู่การผลัดวันประกันพรุ่ง..ในที่สุด