เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 13 ก.พ.66 ที่ สำนักงานทนายความคู่ใจ ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลคลองเกลือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายทินกร (ขอสงวนนามสกุล) หรือเป็ด อายุ 54 ปี พร้อมด้วยนางสาวรพีพรรณ (ขอสงวนนามสกุล) หรือเชอรรี่ อายุ 46 ปี ภรรยาเข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกับนายณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อขอให้ช่วยเหลือคดีหลังถูกบริษัทจัด ทัวร์ไปท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง หลอกลวงว่าสามารถไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ได้ในราคาถูกแต่เมื่อถึงเวลาเดินทางจริงกลับไปไม่ได้ตามที่อ้างทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวลูกค้าของตนเองทั้งสองได้รับความเสียหาย และได้มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แล้วแต่เกรงคดีจะไม่คืบจึงได้มาร้องทนายรณรงค์ให้ช่วยเหลือด้วย

นายทินกร เผยว่า เมื่อเดือน ธ.ค.65 ที่ผ่านมา ได้มีบริษัทของรุ่นน้องที่รู้จักกัน อยากจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นจำนวน 30 คน แต่มีงบประมาณจำกัด แค่คนละ 25,000 บาท ซึ่งทางตนดูแล้วว่าไม่สาารถทำให้ได้ เนื่องจากในช่วงนี้ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น ราคาสูงมาก แต่ทางบริษัทของรุ่นน้องก็บอกมาว่าพนักงานอยากไปกันมาก ไปไหนก็ได้ในประเทศญี่ปุ่น ตนจึงหาโปรแกรมท่องเที่ยวจากบริษัทโฮล์เซลล์เจ้าหนึ่งตั้งอยู่ตำบลคูคต จ.ปทุมธานี เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและทำทัวร์ มีราคาที่ถูก โดยจัดเป็นโปรแกรมไปเที่ยวที่ Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น และก็ได้ราคาตามที่ต้องการ คือ 25,000 บาท แต่ต้องรีบจองและวางเงินทั้งหมด 

ตนจึงแจ้งลูกค้าทำการเก็บเงินพร้อมทั้งโอนเงินทั้งหมดไปให้ทางบริษัทดังกล่าวกว่า 6 แสนบาท และแจ้งให้ลูกค้าเตรียมตัวเดินทางในวันที่ 29 ม.ค.66 จนกระทั่งใกล้วันเดินทางตนได้ติดต่อไปเพื่อขอใบเตรียมตัวจากบริษัทดังกล่าว ขอชื่อโรงแรม เพื่อจะใช้ในการลงทะเบียนเข้าประเทศญี่ปุ่น ทางบริษัทกลับส่งใบเตรียมตัวมาให้ แต่กลับไม่มีชื่อ-เบอร์โทร ของมัคคุเทศก์ รวมถึงชื่อคนมารับ-ส่ง ลูกทัวร์ของตนที่สนามบินก็ไม่มี มีแต่ชื่อโรงแรม ตนจึงโทรไปเช็กกับทางโรงแรมที่ญี่ปุ่นตามชื่อโรงแรมที่ทางบริษัทให้มา ผลปรากฎว่าทางโรงแรมที่ญี่ปุ่นแจ้งว่าไม่มีการจองใดๆ ทั้งสิ้น  ตนได้พยายามโทรติดต่อเจ้าของบริษัทดังกล่าว ซึ่งก็มีการรับสายครั้งหนึ่ง จึงแจ้งปัญหาไป แต่ก็โดนบ่ายเบี่ยงทุกอย่าง ถามถึงเบอร์ไกด์ ก็บอกว่าไกด์อยู่ญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นตนเองก็อยู่ญี่ปุ่น เขาก็บอกว่าเขาขับรถอยู่ แล้วก็รีบวางสายไป หลังจากนั้นก็ไม่รับโทรศัพท์อีกเลย ตนก็พยายามติดต่อไปทั้งวัน แต่ก็ไม่รับสาย

ต่อมาตนได้สอบถามไปในกลุ่มไลน์ ซึ่งในกลุ่มนี้มีลูกค้าคนอื่นๆ อยู่ด้วย ปรากฎว่าบริษัทดังกล่าวเกิดความไม่พอใจ ที่ทางตนไปทวงถามในกลุ่ม อ้างว่าทำให้เขาเสียหาย ทำให้ลูกค้าหลายรายไม่ยอมโอนเงินให้ เลยขอยกเลิกทัวร์ของตนเอง ซึ่งอีกเพียง 2-3 วัน ก็จะถึงวันที่ออกเดินทางอยู่แล้ว ตนเองจึงขอเงินคืน แต่ทางบริษัทกลับบอกว่าจะคืนเงินให้ภายใน 7 วัน แต่ตนกับภรรยาต้องเซ็นสัญญาว่า “บริษัทคุณตนเป็นฝ่ายผิด ที่ไปทำให้บริษัทเขาเสียหาย รวมถึงห้ามไม่ให้ไปโพสต์ข้อความใดๆ กล่าวหาบริษัทเขาอีกด้วย” ตนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องจึงไม่ได้เซ็นให้เขา ต่อมาตนกับภรรยาก็โดนเตะออกจากไลน์กลุ่ม ตนมาทราบอีกว่ามีคนที่ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน กับตนอีกหลายสิบบริษัทมีผู้เสียหายกว่า 400 คนสูญเงินกว่า 10 ล้านบาท จึงได้รู้ว่าบริษัท แห่งนี้น่าจะทำแบบนี้กับกลุ่มลูกค้าหลายๆบริษัทมาแล้ว

ตอนนี้ได้รวบรวมผู้เสียหายไปร้องเรียนที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกำลังจะไปร้องเรียนที่กองปราบปรามสอบสวนกลาง รวมทั้งเดินทางมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากทนายรณรงค์อีกครั้งหนึ่ง "ตอนนี้ตนเองกับภรรยาต้องออกเงินเองเพื่อซื้อตั๋วท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้กับเพื่อนของตนที่พาพนักงาน 30 คนไปเที่ยวญี่ปุ่นโดยสำรองออกเงินไปแล้วเกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งเพื่อนของตนได้พาพนักงานทั้ง 30 คนไปเที่ยวญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 11-14 กุมภาพันธ์นี้ อยากฝากเตือนถึงเพื่อนๆในธุรกิจวงการท่องเที่ยวว่าให้ระวังเพราะตั๋วถูกโปรแกรมท่องเที่ยวดีคงไม่มีอยู่จริง"

ขณะที่ทนายนายรณณรงค์ กล่าวว่า อยากให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายรวมตัวกันนำเอกสารหลักฐานต่างๆไปยื่นเรื่องที่ตำรวจสอบสวนกลางเพื่อให้ตำรวจกองปราบปรามเข้ามาทำคดี เพราะว่าในอดีตเคยมีกรณีการซื้อทัวร์ราคาถูกแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ก่อนที่ผู้เสียหายจะไม่ได้ไปถูกลอยแพ ซึ่งเคสนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตรวจสอบไปยังสายการบินว่าบริษัทดังกล่าวได้มีการจองตั๋วเครื่องบินเอาไว้จริงไหม แต่ถ้าหากไม่มีการจองตั๋วเครื่องบินเอาไว้จริงก็จะเข้าข่ายข้อหาฉ้อโกง นอกจากนี้ยังเป็นการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์อีกด้วย เท่าที่ทราบจากผู้เสียหายตอนนี้มีผู้เสียหายหลายรายที่ถูกหลอกมูลค่าความเสียหายเกินกว่า 10,000,000 บาท แล้ว