นายพรชัย   มุ่งเจริญพร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สุรินทร์   กล่าวว่าเนื่องในวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2566   อบจ.สุรินทร์กำหนดจัดงานมงคลสมรสหมู่แก่ผู้บ่าวสาวคู่รักที่มีความมั่นคงและยิ่งใหญ่ขึ้นโดยการจัดงานแต่งงานและจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง  เป็นแห่งเดียวในโลกก็ว่าได้  โดยปีนี้มีคู่สมรสร่วมจดทะเบียนสมรสบนหลังช้างจำนวน 30 คู่เป็นชาวต่างชาติ 6 คู่และมีช้างร่วมในขบวนแห่กว่า 50 เชือก ตั้งขบวนแห่คู่บ่าวสาว จากหลังสถานีรถไฟสุรินทร์ ในช่วงเช้า เวลา 06.30 น.ไปยังบริเวณจัดงานแต่งานบนหลังช้าง ที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา  หรือสวนใหม่ ในเวลา 10.30 น. เป็นการจัดงานแต่งงานบนหลังช้างตามแบบประเพณีวัฒนธรรมของชาวกูย  หรือชาวส่วย  มาแต่โบราณหลายปีแล้ว   ได้ว่างเว้นเว้นวรรคไปเมื่อมีการระบาดของลูกโควิด 19ปี 2564 – 2565

ในปีนี้ จึงได้จัดงานจดทะเบียนสมรสบนหลังช้างขึ้นอีกครั้งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้  ถือว่าเป็นการจัดงานขึ้น ครั้งที่ 14 โดยจัดที่สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา  หรือที่ชาวสุรินทร์เรียกขานกันว่าสวนใหม่เฉลิมพระเกียรติ ปกติจะจัดงานแต่งงานบนหลังช้างกันที่หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง  ตำบลกระโพ  อำเภอท่าตูม  ซึ่งเป็นหมู่บ้านช้างเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลกแต่ปีนี้ได้ย้ายมาจัดที่สวนใหม่เฉลิมพระเกียรติ  ตำบลนอกเมืองอำเภอเมืองสุรินทร์  เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คู่สมรสทุกคู่และนักท่องเที่ยวได้มาดูชมประเพณีวัฒนธรรมการแต่งงานของชาวกูยเมืองสุรินทร์ ที่ยิ่งใหญ่สวยงาม


นายพรชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า   ว่ากิจกรรมในงานจดทะเบียนสมรสบนหลังช้างปีนี้ประเพณีแต่งงานของชุมชนชาวกูยโบราณ หรือซัตเต พิธี “ซัดเต” เป็นการสู่ขวัญบ่าวสาวแบบชาวกูย และมีพิธีแห่ขันหมากบนหลังช้าง การเลี้ยงอาหารช้างเพื่อความเป็นสิริมงคล และร่วมนั่งช้างจดทะเบียนสมรสบนหลังช้าง ที่ถือว่าเป็นสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสัตว์แห่งความเป็นมงคล ซึ่งจังหวัดสุรินทร์จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันวาเลนไทน์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุรินทร์ เสริมสร้างความเข้มแข็ง ความอบอุ่น และความผูกพันระหว่างสามีกับภรรยา ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย


รวมทั้งเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการแต่งงานของชนพื้นเมืองสุรินทร์ กลุ่มชาติพันธุ์กวย หรือกูย อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวศูนย์คชศึกษา หมู่บ้านช้าง และการท่องเที่ยว ของจังหวัดสุรินทร์ ให้เป็นที่รับรู้ของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ