ด้วยภาพรวมสถานการณ์การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวตามลำดับ ทั้งยุโรป อเมริกา และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มีสัญญาณบวกจากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง จึงทำให้ บีดับเบิลยูเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งมีโรงแรมในเครือเป็นจำนวนมาก ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานหลังจากแนวโน้มการเดินทางมีผลตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยึดสิ่งสำคัญ คือ ธุรกิจโรงแรมทั้งในไทยและทั่วโลกในปี 2566 นี้จะไม่กลับไปแข่งขันอย่างดุเดือดจนเกิดสงครามราคา “red ocean” อย่างในปี 2562 แน่นอน เพราะการลดราคาไม่ได้เป็นการสร้างอุปสงค์ (ดีมานด์) เสมอไป การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า

ลดมาตรการได้เร็วก็สามารถฟื้นตัวเร็ว

โดย นายแลร์รี่ คูคูลิค  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีดับเบิลยูเอช โฮเทล กรุ๊ป กล่าวว่า การทำการตลาดต่อจากนี้ไป ขึ้นอยู่กับรัฐบาลแต่ละประเทศที่จะลดมาตรการในการควบคุมโรคระบาดเป็นไปในทิศทางที่เร็วขึ้นอย่างไร เพราะจะทำให้การท่องเที่ยวกลับมาได้เร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อคนเดินทางได้เร็วขึ้นก็จะสร้างรายได้กลับมาได้เร็วขึ้นเช่นกัน อย่างเช่นภูมิภาคยุโรป และอเมริกาเหนือ ที่ทางกรุ๊ปทำสำเร็จมาแล้ว ทั้งนี้คาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ได้ในปี 2567

สำหรับอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวในขณะนี้คือ ปัญหาสายการบินยังไม่กลับมาให้บริการเต็มที่ ต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าแต่ละสายการบินจะสามารถจัดการปัญหาได้ ดังนั้นในปีนี้จึงมุ่งไปที่การพัฒนาโรงแรมเป็นสำคัญ แต่ในเวลาเดียวกันก็จะเริ่มให้ความสำคัญกับด้านการตลาด การพัฒนาระบบเทคโนโลยีมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โครงสร้างขั้นพื้นฐาน และระบบการจัดการภายในองค์กรมากขึ้นด้วย

รายได้ยังต่ำกว่าก่อนระบาดโควิด 5-10%

ด้าน นายรอน โพลล์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการระหว่างประเทศ บีดับเบิลยูเอช โฮเทล กรุ๊ป และประธาน เวิลด์ โฮเทล กล่าวว่า ปัจจุบันโรงแรมในกลุ่มหลายแห่งมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องในแต่ละช่วงเวลาตามฤดูกาลท่องเที่ยว รวมถึงอัตราการเข้าพัก สูงกว่าก่อนการระบาดของโควิด-19 ไปแล้ว ขณะที่รายได้ห้องพักเฉลี่ยของห้องพักที่ขายได้ทั้งหมด ยังต่ำกว่าก่อนการระบาดของโควิด-19 ประมาณ 5-10%

ซึ่งในปี 2565 ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของโรงแรมในกลุ่มมีผลประกอบการใกล้เคียงปี 2562 และคาดการณ์ว่าในปี 2566 นี้ ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทจะสูงกว่าก่อนการระบาดของโควิด-19 โดย ในปี 2566 นี้ บริษัทตั้งเป้าขยายพอร์ตจำนวน 40-50 แห่งทั่วโลก ป็นโรงแรมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกประมาณ 15-20 แห่ง และในประเทศไทย 3-5 แห่ง

ส่วน นายเกรกอรี จี. ฮาบีบ ประธานเวิลด์ โฮเทล ภูมิภาคอเมริกาเหนือ กล่าวว่า  ด้วยการเปิดประเทศของทางอเมริกาลดมาตรการในการควบคุมเร็วกว่าแถบเอเชีย และในประเทศไทย จึงทำให้คนในประเทศแถบอเมริการเหนือสามารถปรับตัวได้เร็ว รองรับนักท่องเที่ยวได้เร็ว และการฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ก็สามารถทำได้เร็วขึ้นกว่าประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ที่ยังไม่ลดมาตรการเกี่ยวกับโควิด-19 เพราะยิ่งปิดประเทศนานๆ ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ และเศรษฐกิจท่องเที่ยวช้าลงตามลำดับ

ขณะที่ นาย วิตซ์ ฟาน เดน เบิร์ก รองประธานเวิลด์ โฮเทล ภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กล่าวว่า การลดมาตรการภายในประเทศเร็วเท่าไรก็สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ทุกอย่างกลับมาได้เร็ว โดยเฉพาะการเดินทางระหว่างประเทศในแถบอเมริกา และยุโรปสามารถเดินทางกันง่าย เพราะฉะนั้นเมื่อคนติดเชื้อโควิด-19 ลดน้อยลงในปริมาณที่ไม่น่ากังวลใจ และสามารถดำเนินชีวิตเกือบเป็นปกติได้ ก็จะช่วยการท่องเที่ยวได้เร็วขึ้น  ทั้งนี้สามารถตั้งเป้าในการสร้างรายได้ประมาณ 40%จากโรงแรมที่อยู่ในภูมิภาคนี้เป็นสัดส่วน 30%ของโรงแรมทั้งกรุ๊ป

ปัจจัยหลักอยู่ที่รัฐบาลของประเทศจีน

สำหรับ นายโอลิเวียร์ แบริแวง  รองประธานเวิลด์ โฮเทล ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ในภูมิภาคนี้ฟื้นตัวช้าที่สุดเพราะฉะนั้นรายได้ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนที่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับทางยุโรป และอเมริกา เนื่องจากทั้ง2โซนดังกล่าวฟื้นตัวได้เร็ว อีกทั้งยังมีจำนวนโรงแรมและรีสอร์ทภายใต้เวิลด์ โฮเทลมากกว่า เพราะฉะนั้นรายได้ก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของจำนวนโรงแรม แต่ทั้งนี้รายได้ในปี 2566 น่าจะเพิ่มขึ้นที่ 20%

ทั้งนี้กลยุทธ์ที่จะผลักดันให้เกิดรายได้ โดยมุ่งเน้นที่ตลาดชาวจีนนั้นก็ต้องยอมรับ ว่า ในเวลานี้ยังบอกภาพที่ชัดเจนไม่ได้ว่า จะกลับมาพร้อมเมื่อไร เพราะปัจจัยหลักอยู่ที่รัฐบาลของประเทศจีน ในการที่จะปฏิสัมพันธ์กับประเทศนานาชาติอย่างไร  โดยเวลานี้  เวิลด์ โฮเทล ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีประมาณ 50 แห่ง ซึ่งจำนวน 21 โรงแรมอยู่ที่ประเทศจีน ถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และนักท่องเที่ยวในตลาดช่วงนี้จะเป็นกลุ่มตลาดประชุม คอร์เปอเรท เป็นกลุ่มลูกค้าที่เดินทางมาเพื่อธุรกิจ กลุ่มอินเซ็นทีฟ เป็นต้น