การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขตชุมชนเมือง ถือเป็นพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะเขตชุมชนเมืองในกรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นกว่า 10 ล้านคน ต้องอาศัยการดูแล คัดกรอง และป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการระบาดหลายระลอกก็จำเป็นต้องอาศัยชุมชน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและมีส่วนร่วมให้มากขึ้น “โครงการพัฒนาระบบและกลไกของศูนย์บริการสาธารณสุขเพื่อสร้างรูปแบบการทำงานแบบมีส่วนร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนในการป้องกันและฟื้นฟูทางสุขภาพในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อไวรัสโคโรนา 2019 ของกรุงเทพมหานคร” โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นโครงการที่สร้างการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยให้บริการระดับปฐมภูมิกับภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นการทำงานในเชิงรุกที่สามารถพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพระดับปฐมภูมิภายในพื้นที่ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นพื้นที่ต้นแบบ ที่จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดในมิติอื่นต่อไปในอนาคต
นางอนงค์ โรจน์กูลชัย นักจิตวิทยา ประจำคลินิกชุมชนอบอุ่นประชาสงเคราะห์ 26 กล่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ว่า ในช่วงที่เข้าร่วมโครงการกับ สสส. แม้การระบาดจะเริ่มบรรเทาเบาบางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังพบว่ายังมีประชาชนบางส่วน ไม่สามารถเข้าถึงบริการบางอย่างได้ เช่น การส่งต่อรักษาพยาบาล หรือการรับยาต้านเชื้อไวรัส ซึ่งเมื่อเริ่มโครงการแล้วเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบก็ได้ลงพื้นที่ในรูปแบบเชิงรุกบริเวณชุมชนเปรมสมบัติ เขตดินแดง ชุมชนแฟลตห้วยขวาง 1-5 และแฟลตห้วยขวาง 29-38 โดยติดต่อกับผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) ผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญในพื้นที่ และคนในชุมชน มาประชุมร่วมกันจัดตั้งกรรมการส่งเสริมรณรงค์ป้องกันโรค
หลังจากนั้นได้เริ่มจัดทำแผนขึ้นมาตั้งแต่ประชาสัมพันธ์หน้าที่การทำงานของคลินิก เชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ เข้ารับบริการจากโครงการ หากพบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อก็ให้บริการดูแลรักษาตามกระบวนการ โดยคลินิกได้ประชาสัมพันธ์ช่องทางในการติดต่อขอรับบริการจากคลินิก ทั้งรูปแบบของเบอร์โทรศัพท์และกลุ่มไลน์ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
“ยกตัวอย่างก่อนหน้านี้ มีผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ต้องการออกซิเจน และเตียงรักษาโดยด่วน เพราะหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานงานขอความช่วยเหลือ ไปยังเครือข่ายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่มีอยู่ในแต่ละเขตของกรุงเทพมหานคร จนในที่สุดก็ได้รับการช่วยเหลือทันที ได้รับถังออกซิเจนมารักษาที่บ้านจนหายดี หรือมีอีกหนึ่งกรณี ที่ลูกติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ทำให้มารดาซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงอาศัยอยู่บ้านคนเดียว และเริ่มมีอาการป่วย ทำให้ทีมเจ้าหน้าที่ต้องลงพื้นที่ไปให้ความช่วยเหลือที่ห้องพัก ทั้งการตรวจด้วย ATK และดูแลสุขภาวะต่างๆ เมื่อพบว่ามีการติดเชื้อก็ได้ส่งต่อไปยังเครือข่ายศูนย์สาธารณสุขให้การดูแลต่อไป” นางอนงค์ กล่าว
นางอนงค์ กล่าวด้วยว่า การที่โครงการได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น พร้อมทั้งทำสื่อแผ่นพับต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค เพื่อมอบให้กับประชาชน สร้างความรู้ ความเข้าใจระหว่างลงพื้นที่ ส่วนสิ่งที่พบการเปลี่ยนแปลงในชุมชน คือ ประชาชนสามารถรับรู้สิทธิการรักษาของตนเองมากขึ้น
ขณะที่ นางสาวพรปรียา ขุมทอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่นประชาสงเคราะห์ 26 กล่าวว่า ในการทำงานช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 กลุ่มไลน์เป็นช่องทางที่สำคัญในการสื่อสารดูแลผู้ป่วยและญาติ โดยมีทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และพยาบาล คอยสลับเวรดูแลในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว อาการไม่หนัก แต่หากพบว่ามีอาการหนักขึ้น หรือกำลังจะเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีแดง ก็จะเร่งติดต่อประสานงานไปยังเครือข่ายอื่น ๆ เพื่อรับผู้ป่วยให้เข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยเมื่อได้รับการติดต่อมาก็จะเร่งหาทางส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาตามขั้นตอน เช่น ตรวจสอบสิทธิการรักษาของผู้ป่วยของแต่ละโรงพยาบาล หรือติดต่อไปยังหน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลสนามที่สามารถรับดูแลผู้ป่วยได้ทันที โดยมีผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาเมื่อติดเชื้อไปแล้วประมาณ 30-40 คน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก็ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี โดยหากบ้านไหนที่พบผู้ป่วย ก็จะติดต่อเข้ามา หากผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุก็จะมีลูกหลานช่วยติดต่อให้ จนได้รับการดูแลรักษาในที่สุด
นางสาวพรปรียา กล่าวด้วยว่า การทำงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงที่การระบาดค่อนข้างรุนแรง มีความยากง่ายแตกต่างกันตามกรณี เช่น การเข้าไปดูแลบ้านที่มีผู้ป่วยคนเดียวกับผู้ป่วยหลายคนก็มีความแตกต่างกันด้วย เช่น หากบ้านไหนมีผู้ป่วยระดับสีเขียว อยู่ในวัยทำงาน อาศัยอยู่คนเดียวก็จะดูแลตนเองได้ในระดับหนึ่ง แต่หากบ้านไหนมีผู้ป่วยหลายคนและหลากหลายวัย ก็จะมีความซับซ้อนในการดูแลมากขึ้น เจ้าหน้าที่ของคลินิกก็ต้องให้คำแนะนำอย่างครอบคลุม โดยจะมีพยาบาลสลับเวรคอยให้การดูแล ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาได้ปรับแนวทางและพัฒนาเป็นเวลากว่า 6 เดือน เพราะนอกจากการประสานงานแล้ว เจ้าหน้าที่ในโครงการยังมีหน้าที่ในการส่งอาหารและยาให้กับผู้ป่วยอีกด้วย และยังเป็นจุดที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้นำชุมชนกับ อสส. ในการช่วยป้องกัน คัดกรอง ดูแลสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย
"ส่วนตัวคิดว่าการมีกลุ่มไลน์ทำให้ประชาชนเข้าถึงการรับบริการได้มากขึ้น ทำให้มีความสะดวกในการรักษามากขึ้น เพราะบางคนไม่กล้ามารับบริการที่สถานพยาบาล หรือไม่กล้าออกจากบ้าน" นางสาวพรปรียา กล่าวทิ้งท้าย