ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
"การหายไปของใครคนใดคนหนึ่ง ย่อมเป็นปริศนาชวนคิด ที่เราต้องใคร่ครวญ บนพื้นฐานแห่งเจตจำนงของจิตวิญญาณอันล้ำลึก อะไรคืออะไรในนิวาสสถานของความเป็นจริง นั่นคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ตามคุณค่าแห่งสภาวะ มันอาจไม่มีความหมายอะไรเลยหากเราไม่ใส่ใจในห้วงขณะของชีวิต และมันจะผ่านไปอย่างเดียวดายจนถึงที่สุด ของการเป็นชีวิตหนึ่ง เเละ นี่คือความหมายของการดำรงชีวิตอยู่"
นี่คือแก่นสารสำคัญของหนังสืออันมีพลังขับเคลื่อนต่อจิตใจเล่มหนึ่งบนทางผ่านของกาลเวลา เป็นความงามแห่งใจในรสสัมผัส แม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม..
"วันที่แม่ไม่อยู่"..นวนิยายสั่นไหวอารมณ์สัญชาติเกาหลีของ "ชินกยองชุก" และแปลเป็นภาษาไทยโดย "วิทยา จันทร์พันธุ์" ถือเป็นประพันธกรรมแห่งความติดตรึงใจ ในสัมพันธภาพที่ยากจะลงตัว..แต่ก็ลงตัว ...เนื่องเพราะแท้จริงแล้ว
... “มันคือส่วนผสมของสิ่งที่ทุกคนประสบกันโดยทั่วไป ทั้งความรักและการสูญเสีย พลังแห่งครอบครัว ความเท่าเทียมทางเพศ และ ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัวกับคุณค่า และวัฒนธรรมอันเข้มข้นของประเทศเกาหลีใต้"
รสชาติของนวนิยายเรื่องนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วย ความลึกลับ ตื่นเต้น หลอนประสาท แต่สอดแทรกความน่ารักของชีวิตที่ซ่อนเร้น ความปรารถนา การดิ้นรน และ ความฝัน ของคนที่เรารู้จักดี...โดยการดำเนินเรื่องค่อยๆเผยตัวตนอันน่าตกใจ การเสียสละอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และความเพ้อฝันที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจของแม่..
“แม่หายตัวไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว..
ครอบครัวของเธอนัดรวมตัวกันที่บ้านพี่ชายคนโตอย่างกังวลใจ ทุกคนช่วยกันร่างใบปลิวประกาศตามหาคนหายที่จะพิมพ์แจก อาจเป็นวิธีที่ค่อนข้างโบราณ ทว่าครอบครัวของเธอทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้...หลังจากแม่ของเธอหายตัวไป พวกพี่น้องพากันไปแจ้งความคนหาย ย้อนกลับไปดูที่เกิดเหตุ ถามไถ่ผู้คนแถวนั้น
น้องชายซึ่งเปิดร้านขายเสื้อผ้าโพสต์รูปแม่ลงในอินเตอร์เน็ต เขียนระบุสถานที่กับสาเหตุที่แม่หายตัวไป พร้อมขอร้องว่า หากใครเห็นคนที่คล้ายกับผู้หญิงในรูป ให้ช่วยติดต่อกลับ ทุกคนออกตามหาแม่ตามที่ต่างๆ ที่คิดว่าแม่อาจไป แต่ตัวเธอรู้ดีว่า ในเมืองหลวงแห่งนี้..ไม่มีที่ใดที่แม่จะไปได้เพียงลำพัง.."
บทบาทของนวนิยายเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นนะที่ตรงนี้เริ่มต้นจากการสูญหาย ไปสู่การค้นหาอันเป็นสัญญะ...ที่ยากจะอธิบายความ มันคือปริศนาของชีวิตที่สังคมวัฒนธรรมกดทับมันจนบิดรูปไปเป็นรูปรอยของเจตจำนงที่บิดเบี้ยว...ผ่านมิติของชีวิตอันทบซ้อนของความสับสนแห่งชีวิตหนึ่งซึ่งถือเอาภาวะชีวิตเป็นโครงสร้างอันสลับซับซ้อนจนยากจะแปลความ...
"เป็นความสัมพันธ์ของแม่กับลูกสาวที่แน่นแฟ้น เธอกับแม่สนิทกันที่สุดแล้ว...กระทั่งถึงฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน เธอที่เคยคิดว่ารู้จักแม่ตัวเองดีที่สุด รู้ว่าแม่ชอบอ่ะไร เวลาแม่โมโหต้องทำร้ายยังไงถึงจะหาย คำที่แม่พูดติดปากคืออะไร ถ้ามีใครถามว่าตอนนี้แม่กำลังทำอะไรอยู่ เธอสามารถตอบได้ภายในสิบวินาที ว่าแม่กำลังตากต้นโคชารีอยู่ วันอาทิตย์แม่จะออกไปโบสถ์ เธอคิดว่ารู้จักแม่ดี แต่กลับพบว่า...สิ่งที่รู้เหล่านั้นอาจเป็นเรื่องเก่านมนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่แม่ปฏิบัติกับเธอยามกลับบ้านไม่เหมือนลูกสาว แม่ทำเหมือนเธอเป็นแขกคนหนึ่งของบ้าน..."
ภาวะแห่งสถานะของแม่...คือสถานะอันว่างเปล่าที่ไม่ได้รับการใส่ใจจากตัวตนอันบริสุทธิ์ มันคือความคลุมเครืออันยากยิ่ง ที่จะเข้าใจในเจตจำนง ภาวะแห่งโอกาสของชีวิตที่เกิดขึ้นคืออาการล้มคว่ำล้มหงายของชะตากรรมอันวกวน..
แม่..คือคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือกว่าชอบ_หรือไม่ชอบทำงานบ้านเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ ... คือคนที่มีความสุขที่สุด ตอนได้เห็นลูกๆ นั่งรอบโต๊ะกินข้าว แข่งกันกิน ช้อนชนช้อน ทั้งที่ตัวเองเกลียดการทำอาหาร
แม่...คือคนที่เจ็บปวดจากอาการป่วย เจียนตาย แต่ต้องปิดบังความจริงไม่ให้ลูกรู้..
แม่..คือคนที่มีคำพูดติดปากมาทั้งชีวิตว่า"ขอโทษ"ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด..
แม่...คือคนที่มักจะถูกสามีของตนตำหนิ..กล่าวโทษบางอย่างและใช้คำหยาบคายด้วยเสมอ...
แม่..คือคนที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นห่วงเป็นใยบ้าน และคนในบ้านมากที่สุดอยู่ดี
ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครค้นพบแม่..นั่นคือการสาบสูญที่ไร้ร่องรอย เป็นภาวะเสื่อมสลายให้อาลัย ในความเป็นเผ่าพันธุ์ของชีวิตอันยากจะตีความ
ทำไมชีวิตต้องเป็นเช่นนี้? การสาบสูญคืออะไรกันแน่ในวิถีอันลอยล่องของชีวิต ...
นวนิยายเรื่องนี้คือแรงผลักดันล้ำลึกในข้อวินิจฉัยของจิตวิญญาณ คำตอบของข้อสงสัยเหล่านี้ จะคว้านลึกลงไปในหัวใจของผู้อ่าน ท่ามกลางคำถามอันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก..
"..ถ้าไม่ได้มายืนที่นี่ เธอจะภาวนาอย่างมุ่งมั่นว่า...ขอให้ได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไร้ชื่อเสียง อาศัยอยู่ในประเทศปลายสุดแห่งคาบสมุทรเอเชียอีกครั้ง ขอให้เธอหาเเม่เจอ ไม่สิ...ต่อให้แม่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ขอให้เธอ..อย่าลืมแม่"
นี่คือหนังสือ ที่ตรึงใจให้ผู้อ่านน้ำตาไหลเงียบ หรือ อาจจะโหยร้องด้วยความก้องดังอันยับยั้งไม่ได้..เป็นความจริงที่สื่อถึงความจริงอันยากจะควบคุมได้ เจตนาของสาระความคิดของหนังสือเล่มนี้ ล้วนแผ่กระจายความรู้สึกให้ผู้อ่านในฐานะมนุษย์ ได้แนบนิ่งกับวิถีแห่งสัจจะ ไม่ว่าจะเป็นที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า หรือจะถักทอการกระทำและความคิดอยู่เบื้อง..ดีและงามในวัฏสงสารแห่งยุคสมัยโดยแท้..
"วันที่แม่ไม่อยู่ ได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณกรรมอันทรงคุณค่าและดีที่สุดของเกาหลีเล่มหนึ่ง..ได้รับรางวัลระดับโลก"Man Asian Literary Prize 2011" และได้รับเลือกเป็นหนังสือแนะนำจากเว็บไซต์อเมซอน และ โอปรา วินฟรีย์
ความงามอันมีค่าของหนังสือเล่มนี้ จึงอนุมานได้ว่า..มันคือห้วงความสุขแห่งความซาบซึ้งดีงาม ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด..บอกเล่าเรื่องราวที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ทั้งการบอกเล่าและการรู้ตัวช้า ที่ได้เข้ามาเตือนสติพวกเราว่า..โลกาภิวัตน์จะสามารถฉีกกระชากจิตใจของมนุษย์และทำให้เราไม่มั่นใจว่า..จะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า..
"อย่ารอที่จะเห็นคุณค่าของใคร...ในวันที่เขาไม่อยู่.."