วันที่ 18 ม.ค.66 ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกทม.2 ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. กล่าวถึงกรณีที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (บีทีเอสซี) แถลง ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำสัญญาจ้างเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ภายหลังจากบริษัทกรุงเทพธนาคมจำกัด (เคที) ออกมาแถลงว่าการทำสัญญาเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า เป็นคำให้การต่อศาลปกครองของเคที เพื่อไปประกอบการพิจารณาของศาล ซึ่งกทม. เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ แม้กทม.จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้น 99.99 ก็ตาม เพราะเคทีมีคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ รับผิดชอบอยู่แล้ว

 

นอกจากนี้ไม่รู้ว่าที่เคที ระบุว่าสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นหมายถึงสัญญาส่วนต่อขยาย 1 หรือ ส่วนต่อขยาย 2 แต่ถ้าหมายถึงเรื่องพ.ร.บ.ร่วมทุน ก็ไม่รู้ ส่วนประเด็นที่เคทีระบุว่า ไม่มีอำนาจบริหารจัดการรถไฟฟ้า เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยนั้น ตนเพิ่งทราบเหมือนกัน ไม่ทราบว่ารถไฟฟ้าสายอื่นๆมอบกันครบหรือยัง รวมถึงประเด็นเอกชน ระบุเคทีไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการรถราง ทำไมกทม. ถึงว่าจ้างเคที เดินรถ ขอไปดูรายละเอียดก่อน

 

นายชัชชาติ กล่าวว่า ส่วนคำให้การของ กทม.ในฐานะที่เป็นจำเลย เป็นเนื้อหาคนละบริบทกับเคที ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ไปให้ปากคำต่อศาลปกครอง เพราะได้รับการขยายเวลา 30 วัน อยู่ระหว่างให้ฝ่ายกฎหมาย หารือกับอัยการ ในการร่างคำให้การ ซึ่งเนื้อหาจะเป็นไปตามคำให้การคล้ายกับการยื่นอุทธรณ์ครั้งที่ถูกฟ้องครั้งแรก คาดว่าจะยื่นให้การประมาณกลางเดือน ก.พ. ตอนนี้คดียังไม่เป็นที่สิ้นสุด เป็นเพียงคำให้การของฝ่ายจำเลยเท่านั้น รายละเอียดคำให้การของเคที ไม่ทราบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ต้องรอคำตัดสินของศาลซึ่งถือเป็นที่สิ้นสุด ส่วนการตั้งคณะกรรมการวิสามัญฯ 23 คน โดยเป็นส.ก. 18 คน และฝ่ายบริหาร 5 คน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวคาดว่าภายใน 1 เดือน หรือก่อนการเลือกตั้ง จะได้ผลสรุป อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าถ้าเป็นหนี้ที่มีกระบวนการขั้นตอนต่างๆทำถูกต้องตามกฎหมาย กทม.จะจ่ายเงินอย่างแน่นอน 

 

นายชัชชาติ กล่าวว่า ส่วนการนัดหารือกับรมว.คมนาคม ยังนัดไม่ได้ เบื้องต้นกรอบการหารือจะเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเงินและสายสีเทา ซึ่งในแง่ทฤษฎีควรเป็นเจ้าเดียวในการบริหารจัดการรถไฟฟ้าได้ดีขึ้น แต่มีรายละเอียดอีกเยอะ แต่ต้องยึดเอาประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนเป็นหลัก