ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

"หลายๆขณะ ที่ชีวิตหาสมดุลไม่เจอ มันอาจมีอุบัติเหตุการณ์ต่างไป ที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยความแล้งร้าง สับสน...และไม่เป็นกันเอง ทั้งหมดมันคือหายนะอันจับต้องได้ทั้งด้วยกายและด้วยใจ ภายใต้เงื่อนไขแห่งการดำเนินไปของโลกวันนี้ โลกที่สรรพชีวิตต่างเสื่อมสลาย  ในความเป็นตัวตนที่แท้ อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันคือภาวะจริตที่สมควรถูกตรวจสอบด้วยใจแห่งใจอย่างถ้วนถี่...เพียงนั้น"

นี่คือสาระความคิดสำคัญ จากหนังสือที่สนองรับนัยแห่งความสับสนคลุมเครือของหัวใจ ซึ่งเขียนโดยจิตแพทย์ชื่อดังชาวเกาหลี “ยุนแดฮย็อน” ผู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องของภาวะจิตใจมาเป็นเวลาช้านาน..ที่สำคัญก็คือ..เขาได้กล่าวบอกและชี้แจงถึง...วิธีการแห่งการฟังเสียงความรู้สึกของจิตใจ...ที่เคยผ่านการได้รับบาดแผล..รวมทั้งการได้แนะนำวิธีปลุกฟื้นพลังจากจิตใจที่เหนื่อยล้า...และวิธีรักตัวเองให้มากขึ้น...

และถ้าใครสักคนเกิดความหงุดหงิดขึ้นมา ณ ขณะนี้...รู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายขึ้น รวมทั้งกำลังตกอยู่ในภาวะไร้เรี่ยวแรงและไร้พลังใจ..

สิ่งแรกที่จะต้องทำ ก็คือการย้อนกลับมามองหัวใจตัวเอง มองจนกระทังสามารถรู้ว่า เราปรารถนาการพักผ่อนสักพัก...ต้องการทำในสิ่งที่อยาก...หรืออาจต้องการใครสักคนมาปลอบโยน...ทั้งนี้วิธีการเยียวยาของสภาพอาการต่างๆ จะแตกต่างกันตามสภาพของจิตใจ ..ซึ่งหากรู้สภาพของจิตใจตัวเองอย่างชัดเจนและรู้จักวิธีฟื้นฟูแล้ว..ไม่ว่าใครก็ย่อมจะมีพลังใจที่จะฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง..ได้อย่างแน่นอน...

"เหนื่อยไหม กอดหัวใจตัวเองหรือยัง"...หนังสือเกาหลี.....ที่เต็มไปด้วยสาระเนื้อหาอันเข้มข้น

นับแต่บทตอนที่ว่าด้วยการรักตัวเอง...โดยให้พยายามรักตัวเองเพิ่มขึ้นวันละนิด...โดยวิธีการง่ายๆอย่างเช่น...หากไม่มีเวลาไปเยี่ยมหรือไปพบเพื่อนๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ก็ลองอ่านหนังสือรวมกวีนิพนธ์ กวีนิพนธ์แค่บทเดียวจะสามารถช่วยพลังสมองได้...เพราะช่วงที่เรากำลังดื่มด่ำกับลีลาของกวีนิพนธ์ ถือเป็นเวลาที่เราปลดปล่อยหัวใจให้รู้สึก..หรือถ้ารู้สึกว่ามันยากเกินไป ก็ให้เปิดเพลงเพราะๆ...แล้วค่อยอ่านเนื้อเพลงเพื่อหาใจความของความหมายก็ได้...

ประการต่อมา..เราควรลองสืบค้นเข้าไปในใจของตนเอง โดยฝึกมองตัวเองจากมุมมองของคนนอก การฝึกเช่นนี้หมายถึงการฝึกฝนจิตใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงทั้งความรู้สึกและการกระทำของตัวเอง...โดยเน้นจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำได้ดีมากกว่าสิ่งที่ทำไม่ได้...ว่ากันว่า...กลยุทธ์ในการสร้างนิสัยที่ดีมี 2 วิธี...นั่นคือการมองหาจุดด้อย และเสริมจุดเด่นของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น..จริงๆ แล้วคนโดยทั่วไปมักจะคุ้นเคยกับการมองหาจุดด้อย ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราถูกสั่งสอนมาให้แก้ปัญหาเป็นหลัก..แต่การเสริมจุดเด่นที่เรามีไปเรื่อยๆ..สุดท้ายแล้วจุดด้อยของเราก็จะถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ในบทที่ 2...ให้ถือกันว่า...ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ...เนื่องเพราะในบางครั้ง..เราอาจจะโมโหบ่อยๆ และ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้..สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่า..สมองเหนื่อยล้า  การใช้ชีวิตในสังคมของเราเหนื่อยล้า  พลังในจิตใจของเราลดลงเรื่อยไป จนทำให้พลังงานของสมองถูกเผาผลาญจนหมด..ครั้นเมื่อสมองต้องทำงานไม่หยุด สมองก็ย่อมจะต้องเหนื่อยล้า จนทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน เมื่อคนที่มีภาวะนี้มารวมกัน ก็จะกลายเป็นสังคมแห่งความเหนื่อยล้า...และ ในทางกลับกัน..สังคมแห่งความเหนื่อยล้า..ก็จะทำให้คนหมดไฟในการทำงานได้...

ดังนั้น จึงเกิดวิธีฝึกรักตัวเองอย่างง่ายไปขึ้น ด้วยการฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ..และจดจ่ออยู่กับลมหายใจ...ระหว่างการหายใจก็จินตนาการถึงคนและวิวทิวทัศน์ที่ชอบ หรือจินตนาการถึงว่าพลังงานด้านบวกกำลังรวมตัวกันอยู่ใกล้ๆหัวใจ ให้ลองฝึกต่อเนื่องสัก 2-3 นาที...แล้วจิตใจก็จะสดใสปลอดโปร่งมากขึ้น ซึ่งถึงแม้มันจะเป็นวิธีง่ายๆ แต่ก็สามารถที่จะช่วยปกป้องร่างกายและจิตใจจากความเครียดทั้งมวลได้..

การเยียวยาความเครียดอีกวิธีหนึ่ง ก็คือการดื่มด่ำกับรสชาติของอาหาร ในสถานที่เงียบสงบ ยิ่งใกล้ธรรมชาติยิ่งดี วางงานไว้ให้ไกลตัว และเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ค่อยๆเคี้ยวให้ละเอียด กินข้าว ค่อยลิ้มรสอาหารผ่านประสาทสัมผัสต่างๆให้เต็มที่..การเติมพลังให้จิตใจแม้จะเป็นในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่นาที แต่ก็ยิ่งทำให้มีพลังไว้ใช้สำหรับการเเข่งขันมากขึ้น กว่าเดิม..

ในบทที่ 3..ได้มีการย้ำเตือนถึงว่า “จงโอบกอดตัวเองก่อนที่จะหมดหนทาง” เพราะชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ...อย่าจมกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว และอย่ากระวนกระวายกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง...ฝึกรักตัวเองก่อนให้มากขึ้นวันละนิด...ยิ่งเข้าใจยิ่งเหนื่อยและให้คิดอยู่เสมอว่า...การพักผ่อนไม่ใช่การบ้าน...

ในบทที่ 4...การพูดถึง..ความสัมพันธ์ที่ดีต้องมีระยะห่าง...โดยให้ตระหนักว่า...ความเหงาเป็นเรื่องธรรมดา...ฝึกรักตัวเองให้มากขึ้นวันละนิด...ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างแจ้งชัดและจริงจังว่า..ทำไมเราถึงต้องการให้คนอื่นยอมรับในตัวตนของเรา...จงคบหากับคนที่ตอบแทนกลับมาเท่ากับที่เราให้ไป..ให้คิดอยู่เสมอว่าการปฏิเสธไม่ใช่การต่อต้าน แต่คือการสื่อสาร  

ซึ่งแม้จะเป็นคำพูดดีๆ แต่หากพูดซ้ำๆมันก็กลายเป็นเสียงบ่น...ที่สุดแล้ว...ต้องฝึกรักตัวเองให้มากขึ้นวันละนิด...ฝึกกล่าวคำขอโทษ และต้องใส่ใจความคิดของคนอื่นให้น้อยลง..จนกว่าจะยอมรับระยะห่างระหว่างกันได้...

บทที่ 5 บทสุดท้าย..หนังสือได้ให้อุทาหรณ์ต่อเราว่า...การที่เราต้องเศร้าไม่ได้หมายความว่า..เราจะไม่มีความสุข...เราต้องฝึกรักตนเองให้มากวันละนิด...ไม่ใช่ทุกคนในโลกนี้หรอกที่จะมาสนใจเรา..เลิกคิดถึงสิ่งนี้ได้...ความเคารพตัวเองนั้นหาได้เกิดจากความตั้งมั่นเพียงอย่างเดียว...และ การที่เรารักษาบาดแผลให้หายได้แล้ว เกิดพลังแห่งความสำเร็จแล้ว หรือแม้แต่ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว..แต่ทำไมเราก็ยังรู้สึกว่างเปล่า...เหตุนี้เราจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกรักตัวเองให้มากขึ้นวันละนิด...โดยอย่าไปเปรียบเทียบตัวเองกับบุคคลในโลกออนไลน์เป็นอันขาด..

ภาพรวมของหนังสือเล่มนี้..จะให้ข้อคิดเชิงสรุปกับว่า..ในความเป็นชีวิตหนึ่งนั้น... “เราจำเป็นต้องใช้เวลาในการเยียวยาเพื่อไม่ให้รู้สึกท้อใจเวลาล้มเหลว...และหลังจากที่ล้มเหลวแล้ว..เราต้องหยุดพักเยียวยาจิตใจก่อนที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...ผ่านการปลอบโยนตัวเอง หรือการได้รับ  การปลอบโยนจากคนรอบข้าง อย่างเพียงพอ..ซึ่งนั่นคือสิ่งสำคัญ..”

เมื่อได้อ่านสาระโดยละเอียดของหนังสือเล่มนี้...ผมถือว่าหนังสือเล่มนี้คือหนังสือแห่งการย้ำเตือนโครงสร้างอันไม่เต็มส่วนของชีวิต..ให้อิ่มเต็มไปด้วยข้อย้ำเตือนแห่งสำนึกคิด...เป็นบทเรียนของการกระตุ้นให้เราทุกคน ได้ทบทวนความปรารถนาของตัวเอง กระทั่งการมองโลกในแง่บวกด้วยการค้นหาความจริงแห่งความหมายของชีวิตในแบบฉบับที่เป็นของตัวเอง..ให้เราได้ประจักษ์ในความคิด จิตใจ และ อารมณ์ของตัวเองได้อีกครั้ง..

เราจะสามารถรักคนอื่นได้...ถ้าเรารู้จักโอบกอดหัวใจของตัวเองให้แนบแน่น...มันมีความหมายสำหรับสังคมแห่งการมีชีวิตอยู่ร่วมกันของ “มวลมนุษย์”

... “กนกพร เรืองสา” แปลและถอดความนัยแห่งหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างตรึงใจและมีแก่นสารยิ่ง..โดยเฉพาะการจับประเด็นและสื่อประเด็นที่มั่นคงถึงผู้คนมากมายในโลกนี้..ที่เป็นและมีชีวิตเหมือนเช่นเราที่จะต้องไม่ฝืดฝืนจิตใจอันเหนื่อยล้า..แต่จะต้องเพียรในการฝึกรักตัวเองให้มากขึ้นวันละนิด...และ จงหมั่นถามตัวเองว่า..เหนื่อยใช่ไหม...ลองกอดหัวใจของตัวเองแล้วหรือยัง?

"ทำไมเราใจดีกับคนอื่น...แต่กลับใจร้ายกับตัวเอง???"....นั่นสินะ!!!