บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น)

ว่ากันว่าเป็นความจงใจของการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ฉบับนี้ที่ล็อกไว้ให้แก้ไขยากขึ้น ในประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมิใช่เรื่องง่าย มันมีกระบวนการตรวจสอบที่ค่อนข้างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีกระบวนการพิทักษ์ปกป้องที่เรียกว่า "ตุลาการภิวัตน์" (Judicial Review, Judicial Activism) การใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่ผ่านมามีการแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 นอกจากนี้ยังพบว่า มีข้อขัดข้องมากมายเกี่ยวกับบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่ต้องตีความ เช่น การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จนเกิด ส.ส.ปัดเศษขึ้น เป็นต้น จากประเด็นนี้นำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 และมาตรา 91

ร่าง "ปลดล็อกท้องถิ่น" ของ คณะก้าวหน้าถูกรัฐสภาโหวตคว่ำ

ถือเป็นการท้าทายระบอบอำนาจนิยม (Authoritarianism, Autocrat = Totalitarianism) ก้าวต่อไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 คือการ "ปลดล็อกท้องถิ่น" ใน “ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พุทธศักราช …” แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 14 การปกครองท้องถิ่น (มาตรา 249-254) รณรงค์โดยคณะก้าวหน้า มีประชาชนร่วมลงชื่อที่ตรวจสอบความถูกต้องแล้วจำนวน 76,591 คน เป็นผู้เสนอ จากจำนวนประชาชนที่เข้าชื่อจำนวนทั้งสิ้น 80,772 คน ภายใต้ชื่อแคมเปญ “ขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น”

เหตุผลสำคัญหลัก 5 ประเด็น ได้แก่ (1) ภารกิจส่วนใหญ่ยังอยู่ที่การปกครองส่วนกลาง (2) การถ่ายโอนภารกิจให้แก่ท้องถิ่นไม่มีสภาพบังคับ (3) องค์กรที่มีอำนาจตรวจสอบมีแนวโน้มตีความจำกัดอำนาจส่วนท้องถิ่น (4)การดำเนินงานท้องถิ่นเป็นไปอย่างยากลำบากทั้งในด้านอำนาจหน้าที่ การบริหารจัดการ และ (5) งบประมาณที่จำกัดของท้องถิ่นอันมาจากข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษีและจัดการเงินอุดหนุน เป็นต้น

เนื้อหาสาระสำคัญ ได้แก่ (1) ท้องถิ่นมีอำนาจทำทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ให้ส่วนกลางจัดทำเท่านั้น (2) ให้ท้องถิ่นได้งบประมาณร้อยละ 50 ภายในสามปี (3) สภาและผู้บริหารมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น (4) ห้ามส่วนกลางก้าวก่าย จะเพิกถอนคำสั่งต้องไปศาลปกครอง (5) ประชาชนเข้าชื่อ 3 ใน 4 ขอถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น มีผลทันที (6) ทำประชามติยกเลิกส่วนภูมิภาคในห้าปี

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 รัฐสภามีการโหวตลงมติในวาระ 1 ด้วยวิธีการขานชื่อ ผลการนับคะแนน ปรากฏว่าที่ประชุมมีมติไม่รับหลักการ ดัวยเสียง 245 ต่อ 254 เสียง งดออกเสียง 129 คะแนน คะแนนรับหลักการน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด (ส.ส.+ส.ว.722 เสียง) คือ 361 คะแนน และมี ส.ว.เห็นชอบ 6 เสียง น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ ส.ว. หรือน้อยกว่า 83 เสียงของ ส.ว. ร่างดังกล่าวจึงไม่ผ่านชั้นรับหลักการ

ประเด็นการปฏิรูปท้องถิ่นยังเป็นความฝันและยังฮอตอยู่ตลอดกาล

น่าแปลกใจหลังจากสภาไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีเวทีสัมมนาวิชาการ สื่อวิพากษ์เรื่องนี้กันมาก หรือว่าเป็นเพียงกระแสก่อนการเลือกตั้ง "การกระจายอำนาจท้องถิ่น" ยังไม่เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นประเด็นข้อวิพากษ์ที่ไม่ตกยุค หลังจากที่เริ่มต้นพยายามมาตั้งแต่ "ยุคทอง" รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ในช่วงระหว่างปี 2542-2546 แต่สุดท้ายต้องมานับหนึ่งใหม่ ตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ดังนั้นการปลดล็อกท้องถิ่นในระยะเวลาอันใกล้นี้ จึงเป็นความฝัน เพราะต้องฝ่า 2 ด่านสำคัญ คือ

(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 65 รวม 6 ยุทธศาสตร์ ถือเป็นยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรกของประเทศไทยซึ่งจะต้องนำไปสู่ การปฏิบัติเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” และ (2) แผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ.2561-2580 ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ รวม 13 ด้าน คือ (1) ด้านการเมือง (2) ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (3) ด้านกฎหมาย (4) ด้านกระบวนการยุติธรรม (5) ด้านเศรษฐกิจ (6) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (7) ด้านสาธารณสุข (8) ด้านสื่อสาiมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ (9) ด้านสังคม (10) ด้านพลังงาน (11) ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (12) ด้านการศึกษา (13) ด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

ซึ่งตามแผนการปฏิรูปประเทศไม่ปรากฏ "คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการปกครองท้องถิ่น" แต่อย่างใด แต่ด้านการปกครองท้องถิ่น เป็นเพียงส่วนย่อยหนึ่งของ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง, คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน และ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย

เหลียวหลังแลหน้าท้องถิ่นในปี 2565 และปีหน้า 2566

ในรอบปีที่ผ่านมาการบริหารงาน อปท.ถือว่าล้มเหลว แบบล้มเหลวซ้ำซากมาตลอดตั้งแต่หลังปี 2546 เป็นต้นมา ขอยกตัวอย่าง เช่น (1) เรื่องการสรรหาบุคลากร ทำให้อัตราขาดแคลน โดยเฉพาะ อบต. ขาดสายงานผู้บริหารมาก ซึ่งปัจจุบัน ก.กลาง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีคดีบุคคลค้างศาลปกครองเป็นจำนวนมาก (2) เรื่อง อปท.ถูกสั่งการใช้งานมอบนโยบายจากส่วนกลาง มท.สถ. สารพัด เช่น ขยะเปียก 100% โควิด ยาเสพติด รำวงมหาดไทย (3) เรื่อง งานฝากต่างๆ ของส่วนกลาง เช่น งานติดตามผู้ต้องขัง (ราชทัณฑ์) (4) เรื่อง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 (กฎหมายใหม่ใช้บังคับตั้งแต่ 17 ตุลาคม 2565 เป็นตันไป) การห้ามสั่งให้ข้าราชการตำรวจที่สังกัดสถานีตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนราชการอื่นที่มีใช่สถานีตำรวจ ฉะนั้น การใช้กำลังตำรวจช่วยงานในท้องถิ่นจึงมิอาจทำได้ เช่น งานเทศกิจ หรือคณะกรรมการประจำศูนย์ท้องถิ่นฯ ซึ่งขัดต่อหลักการกระจายอำนาจ เพราะ งานตำรวจบางอย่างต้องถ่ายโอนให้ท้องถิ่น เช่น งานจราจร นอกจากนี้ เรื่องการทุจริตของ อปท.ก็ยังเป็นประเด็น ที่เล่าขานกันอยู่

ลองมาดูวิวัฒนาการในนวัตกรรมของท้องถิ่นว่ามีอะไรในท้องถิ่น (อบต.อบจ.เทศบาล) บ้างที่หายไปแล้วทำให้คุณคิดถึง มีคำตอบที่น่าสนใจในสิ่งที่หายไปหรือเหลืออยู่ปัจจุบัน อาทิ (1) ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการของตำแหน่งที่ไม่ใช่ปลัด ของสายวิชาการและสายทั่วไป (สายงานผู้ปฏิบัติ) แต่สายปลัดสูง น่าอิจฉา (2) โบนัส 3-5 เท่าหายไป แบบไม่ต้องมีงบลงทุน 10% มาเป็นข้อแม้ (3) ทุนการศึกษา ป.ตรี ป.โท (4) ความสามัคคี การกีฬา ความดี ความจริงใจ ความรัก การต่อสู้แบบสามทหารเสือ เพื่อนแท้ (5) ระบบซี ระบบเลื่อนขั้น (6) การเลือกตั้งไม่ซื้อเสียง (7) อำนาจนายกการใช้อำนาจแบบบารมีของนายกหายไป แต่มีอำนาจทางการเมืองสูงขึ้น (8) เทคโนโลยีเปลี่ยนหมด เลิกเครื่องพิมพ์ Olympia ตลับผ้าหมึก และชุดกระดาษโรเนียว (9) แผนพัฒนาที่ไม่ยืดหยุ่นเหมือนอดีต มีเงื่อนไขมากขึ้น (10) งานบุคคลที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนยุคนี้ ที่มีเงื่อนไขเยอะ (11) ความซื่อสัตย์ โปร่งใส สุจริต ยังไม่หายไป บางแห่งเหนียวแน่น มากขึ้น คิดถึงเงินทอน ลดสเปกงาน การทุจริตซื้อ 100 เขียนใบเสร็จ 150 เยอะแยะที่คิดถึง โดยเฉพาะคิดถึง ป.ป.ช.ที่ ล่าช้า (12) การแตะซี 6 ใน 1 วันสามารถยื่นหนังสือขอกรรมการเปิดสอบเป็นรองปลัดได้เลย การเลื่อนระดับแบบเลื่อนไหล/การสอบคัดเลือกสายบริหารระบบเดิม การคัดเลือกการเลื่อนระดับที่ดำเนินการเองแตะครบเลื่อน เป็นต้น

ราชการส่วนภูมิภาคเป็นหอกข้างแคร่ หรือผู้สนับสนุนราชการส่วนท้องถิ่นกันแน่

ข้อโต้แย้งว่ายังจำเป็นต้องมีราชการส่วนภูมิภาคอีกหรือไม่ เพราะตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินและการกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่น (Local Decentralization) ให้มีอำนาจอิสระในการบริหารจัดการตนเอง การจัดบริการสาธารณะ (Public Service) และการดำเนินกิจกรรมสาธารณะ แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ยังต้องมีการกำกับดูแล การควบคุมที่เหมาะสมจากส่วนกลางด้วย (คือจาก ราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาค) นอกจากนี้ ราชการส่วนท้องถิ่นต้องมีขนาดองค์กรที่เหมาะสม และมีภารกิจที่ชัดเจน

ปัญหาการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ที่เรียกว่า "การปกครองท้องที่" ก็เป็นปัญหาการบริหารงานที่ซับซ้อน และทับซ้อนกับการปกครองส่วนท้องถิ่น การเพิ่มฐานอำนาจให้แก่การปกครองท้องที่ถือเป็นการเพิ่มฐานอำนาจให้แก่ราชการส่วนภูมิภาคและราชการส่วนกลาง เพราะผู้กำกับบังคับบัญชากำนัน ผู้ใหญ่บ้านโดยตรงคือ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง เรียกว่า "การปกครองท้องที่คือติ่งราชการส่วนภูมิภาค" นั่นเอง ด้วยมีกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับที่ขัดแย้งกัน คือ (1) พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 (2) พ.ร.บ.จัดตั้ง อปท.โดยเฉพาะ พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 ที่ว่าด้วยการยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้านในเขตเทศบาลเมือง และ เทศบาลนคร ซึ่งนักวิชาการบอกว่า “โครงสร้างการปกครองท้องถิ่นไทย” นั้น ถูกออกแบบให้มีความขัดแย้งกันมาตลอด นับแต่การใช้รูปแบบ “ผู้บริหารที่มีอำนาจมาก” (Strong Mayor Executive) เป็นเบื้องแรก

ภาพลักษณ์ของท้องถิ่นในสายตาคนนอกมีภาพลบถือเป็นอุปสรรคยิ่งต่อการปลดล็อก

(1) ภาพลักษณ์ว่านายกท้องถิ่น เช่นว่า (1.1) เป็นนักเลง คนคดโกง กลุ่มผลประโยชน์ เกี่ยวข้องการการบริหารงานที่มีสีเทา สีดำ อิทธิพล การเมืองบ้านใหญ่ นอมินี (1.2) มีความรู้น้อย ซึ่งมีผลต่อข้าราชการที่จะถ่ายโอน รับไม่ได้ ฯลฯ

(2) อปท.มีความโปร่งใสตามระบบการตรวจสอบ LPA, ITA จริงหรือไม่ เพียงใด เพราะบางแห่งถูกตรวจสอบการบริหารงานซ่อนเร้น ไม่โปร่งใส ทำให้มีคดีละเมิด คดีอาญากันมาก นายก อปท.ถูกหน่วยตรวจสอบเล่นงานแบบหมดทางแก้ไขต้องติดคุก ชดใช้ละเมิด แต่ที่ห่วงยิ่งคือผลคดีมันลากข้าราชการส่วนท้องถิ่นรับเคราะห์ร่วม ยิ่งเสียดายหากมีข้าราชการน้ำดีติดกับดักร่วมไปด้วย ส่งผลว่าพวกข้าราชการคนชั่ว คดโกง ได้ดี ลอยหน้า ลอยตา ไร้ความสามารถ แต่มีตำแหน่งสูง เพราะมีการซื้อขายตำแหน่ง ระบบ "ตั๋วช้าง" หรือ การเข้าสู่ตำแหน่งตาม "ทฤษฎีรถบัส" ที่คนไม่มีตั๋วต้องรอก่อน ยังมีอยู่ทั่วไป ระบบความรู้ความสามารถอยู่ยาก

(3) ภารกิจหน้าที่ อปท.ที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ กล่าวคือ เป็นไปตามกฎหมายจัดตั้ง ตามกฎหมายแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ (กฎหมายถ่ายโอน) ซึ่งถือเป็นภารกิจหน้าที่ของ อปท.หรือไม่ เพียงใด เมื่อลองสำรวจงานที่ อปท. ทำมีหลายภารกิจที่อยู่นอกอำนาจหน้าที่ หรือ ทำงานภารกิจที่มิใช่อำนาจหน้าที่โดยตรง แต่เป็นงานฝากทำ งาน mou งานนโยบาย งานจังหวัด อำเภอ ฝากให้ทำต่างๆ ล้วนเป็นงานที่ อปท.ไม่มีอำนาจ หรือมีอำนาจ แต่อำนาจไม่เต็มตามกฎหมาย เพราะมีหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคต้องทำหน้าที่อยู่แล้ว เช่น งานราชทัณฑ์ งานคุมประพฤติ งานไกล่เกลี่ยข้อพิพาท งานยาเสพติด งานปศุสัตว์ งานบริบาลคนภาวะพึ่งพิง งานเด็กและเยาวชน งานการพัฒนาสตรี งานกองทุนหมู่บ้าน งานศูนย์สงเคราะห์ประจำหมู่บ้าน งานผู้สูงอายุ และรวมถึงงานที่ผ่านมา ทั้งโควิด งานโคกหนองนาโมเดล งานขยะเปียกลดโลกร้อน งานสงครามยาเสพติด งานประกวดรำวงมหาดไทย เป็นต้น

(4) ปัญหาการดองเค็มท้องถิ่น เกิดจากการบริหารราชการแบบรวมศูนย์ ก็เท่ากับต้นไม้กลวงใน หาแก่นสารได้น้อย คือ ผู้มีอำนาจประเทศนี้กลัวอย่างถึงที่สุดว่าท้องถิ่นจะเจริญ ผูกขาดอำนาจไว้คนเดียวและคิดว่าบ้านเมืองเป็นของตนที่จะสั่งไปทางไหนก็ได้ ซึ่งคนท้องถิ่นเขาก็คิดว่าบ้านเมืองเป็นของเขาเช่นกัน มีคำถามว่าการกระจายอำนาจถึงมือ ประชาชน กี่เปอร์เซ็นต์ ไปตกค้างอยู่ในมือเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองท้องถิ่น เท่าใด นี่คือความล้มเหลวของการถ่ายโอนภารกิจ สิ่งที่ส่วนกลางกลัวอีกอย่างคือ การเติบโตของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ในเมื่อมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(ฝืนไม่ได้) จึงมีแนวคิดให้ส่วนภูมิภาค มาเป็นหูเป็นตาดูแลคอยสอดส่องแทนส่วนกลาง จึงมีคำว่า "การกำกับดูแล"(Tutelle) ขึ้น ซึ่งมิใช่ "การควบคุมบังคับบัญชา" (Hierarchy of Control) แต่สาระสำคัญของการกระจายอำนาจ คือ "การปกครองตนเอง" (Local Government) ที่อาจแยกได้ในหลายๆ ระดับ ได้แก่ (1) Local self Government (2) Devolution (3) Privatization เป็นต้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) หรือรัฐแบบสหพันธรัฐ (Federation State) หรือแบบสมาพันธรัฐ (Confederation State) แต่อย่างใด เพราะเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีได้ในทุกระบบ ในทุกรูปแบบการปกครอง แม้แต่ในระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หรือเผด็จการอำนาจนิยมก็มีเขตการปกครองปกครองตนเอง หรือเขตการปกครองพิเศษ ตรรกะการปลดล็อกท้องถิ่นนี้จึงไม่เป็นไปตามหลักอารยะสากล

(5) รัฐต้องจัดสรรงบประมาณรายได้ให้ท้องถิ่นตามกฎหมาย 35% ซึ่งเป็นเรื่องการจัดสรรทรัพยากร (Resources Allocation) ตามหลักการกระจายอำนาจ (Decentralization) กรณีเงินอุดหนุนจากภาครัฐ (subsidy) แบบให้เปล่า มีหลายวิธี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชดเชยรายได้ให้แก่ท้องถิ่น ที่มีรายได้น้อย ที่ไม่เพียงพอ มีขนาดพื้นที่ และสภาพพื้นที่ที่แตกต่างกัน โดยมีฐานวิธีคิด ด้วยอัตราการจัดสรรที่เท่ากันทั้งหมด จากฐานภาษีที่จัดเก็บได้ เช่น ปัจจุบันใช้ฐานรายได้ต่อหัวประชากร ปัจจุบันรัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่ อปท. ได้สัดส่วนเพียง 29.58% (ข้อมูลปี 2565) แต่ตามกฎหมายมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 บัญญัติล็อกว่า "ในการจ่ายเงินเดือน ประโยชน์ตอบแทนอื่นและเงินค่าจ้างของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างที่นำมาจากเงินรายได้ที่ไม่รวมเงินอุดหนุนและเงินกู้หรือเงินอื่นใดนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งจะกำหนดสูงกว่าร้อยละสี่สิบของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่ได้" ตามมาตรา 30(4) แห่ง พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ พ.ศ.2542 แก้ไข (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 บัญญัติว่า "กำหนดการจัดสรรภาษีและอากร เงินอุดหนุน และรายได้อื่นให้แก่ อปท.เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม โดยตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2550 เป็นต้นไป ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้า และโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ อปท.มีรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละสามสิบห้า โดยการจัดสรรสัดส่วนที่เป็นธรรมแก่ อปท.และคำนึงถึงรายได้ของ อปท.นั้นด้วย"  ปัจจุบันยังไม่มีการแก้ไขมาตรา 30 (4) และยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่จะให้งบ 35% ท้องถิ่นว่าในปีใด เช่น ภายในปี 2568 (35%) เป็นต้น นับแต่ปี 2549 รัฐได้โยกโย้หลีกเลี่ยงการแก้ไขบทบัญญัติตามกฎหมายนี้มาตลอดถึงปัจจุบันรวมกว่า 16 ปีแล้ว

การเหลียวหลังดูพัฒนาการ “ในนวัตกรรมของท้องถิ่น” จะเป็นตัวชี้ถึงอนาคต (แลหน้า) นี่แหละคือ ดัชนี หรือตัวชี้วัดว่า “การปกครองท้องถิ่น” หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะสามารถก้าวผ่านด่านต่างๆ ที่ล้วนเป็นวาทกรรมและมายาคติต่างๆ ที่เป็นขวากหนามอุปสรรคที่ลดทอนการเจริญเติบโตก้าวหน้าดังกล่าวไปได้อย่างไร คงเป็นมหากาพย์ที่จะเล่าขานกันอีกนาน เพราะเรื่องมันยาวจบยาก