วันที่ 27 ธันวาคม นายทิพย์ รื่นเกษม อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50/9 หมู่ 8 ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.พิทยา คูณทวีทรัพย์ชัย พนักงานสอบสวน สภ.บางสะพาน ว่า ได้รับแจ้งจากเพื่อนสนิทรายหนึ่งเดินทางมาแจ้งให้ทราบ เนื่องจากมีเบาะแสการลงขันจ้างมือปืนจาก จ.ระนองและ จ.เพชรบุรี มาลอบยิงตน พร้อมด้วย นายไพฑูร รุ่นเกษม นายสวัสดิ์เกียรติ สีทับทิม จึงมาลงประจำวันเป็นหลักฐาน ขณะที่ไม่มีสาเหตุขัดแย้งกับบุคคลใด
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2565 ตัวแทนชาวบ้านกว่า 300 คน จาก หมู่ที่ 5 หมู่ที่ 6 หมู่ที่ 8 ต.แม่รำพึง ยื่นหนังสือถึง นายเลิศยศ แย้มพราย นายอำเภอบางสะพาน เพื่อแกไข้ปัญหามีสาวใหญ่รายหนึ่ง แอบอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากเจ้าอาวาสวัดเขาโบสถ์ ให้จัดการรายได้จากงานศพ หรือ หากชาวบ้านจะเข้าไปกราบไว้หลวงปู่ท้วม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสองค์เก่าที่มรณภาพไปนานแล้ว มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินจริง โดยการแก้บนที่องค์หลวงปู่ท้วมแต่ละครั้ง จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าไปดำเนินการ กว่า 3,000 บาท ขณะสีกาทั้ง 2 รายไม่อนุญาตให้ชาวบ้านนำสิ่งของจากภายนอกเข้าไปภายในวัด ทำให้ที่ผ่านมาสาวใหญ่ดังกล่าวมีรายได้จากการเรียกรับเงินค่าบริหารจัดการภายในวัดหลายสิบหลายสิบล้านบาท โดยที่วัดไม่มีไวยาวัจกรและกรรมการบริหารวัด
นายทิพย์ รื่นเกษม กล่าวว่า ที่ผ่านมาการนำศพเข้าไปทำพิธีทางศาสนาจะมีข้อห้ามที่ยุ่งยาก โดยเฉพาะหากชาวบ้านไม่เช่า หรือยืม โลงเย็นที่วัด ก็จะไม่ให้นำศพมาเผาที่วัด และมีการเรียกเก็บเงินทุกอย่างแม้กระทั่งดอกไม้ถวายพระต้องใช้สิ่งที่วัดจัดหามาให้ นอกจากนี้ หากวัดจัดงานประจำปี สาวใหญ่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็จัดการทุกอย่างทั้งหมด
นายสำเนียง ชูศิริ อดีตคนขับรถวัดดังกล่าว เล่าว่า ตนขับรถมา 10 กว่าปี ไม่มีปัญหา สำหรับหญิงคนดังกล่าว ปกติอาศัยอยู่ที่ กทม.แต่จะเดินทางมาที่ อ.บางสะพานเป็นครั้งคราว แต่ภายหลังทราบว่าย้ายมาอยู่ในวัดที่ อ.บางสะพานเป็นการถาวร แต่ไม่ได้เป็นกรรมการวัด โดยหลวงพ่อไว้วางใจ มอบกุญแจตู้บริจาคต่างๆ เมื่อบุคคลดังกล่าวมาอยู่ที่วัด จึงให้ตนลาออกจากหน้าที่ขับรถ จากนั้นสีกาคนดังกล่าวเป็นคนขับรถให้หลวงพ่อทั้งการออกกิจนิมนต์หรือเดินทางไป กทม.
ด้าน นายสุบรรณ ทองกอย อดีตคนขับรถวัดอีกราย อดีตกรรมการวัด กล่าวว่า ผู้หญิงคนดังกล่าว จะจัดการทุกสิ่งภายในวัด ชาวบ้านจะนิมนต์พระ ก็ต้องผ่านการพิจารณา ความเห็นส่วนตัว ต้องการให้ผู้หญิงคนดังกล่าวออกจากวัด และให้มีคณะกรรมการเข้ามาทำหน้าที่เพื่อกอบกู้ความศรัทธาของประชาชน


