ผู้ปกครอง และนักเรียน ร.ร.มัธยมแห่งหนึ่งที่ อ.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ รวมตัวถือป้ายชุมนุมหน้าอาคารเรียน  เรียกร้องให้เขตการศึกษาฯ ตรวจสอบการบริหารงานของ ผอ. เข้าข่ายไม่โปร่งใสหลายโครงการ ทั้งโยกงบกีฬาสีไปทำผิดวัตถุประสงค์  เงินผ้าป่าและที่ผู้ปกครองร่วมบริจาคซ่อมห้องน้ำล่องหนแต่ห้องน้ำยังชำรุดผุพัง  และบูลลี่ นร.เพศที่สามโตเหมือนควายยังอยากกินขนม รู้สึกอับอายไม่อยากไปเรียน ด้าน ผอ.แจงไม่เจตนาบูลลี่แค่พูดหยอกล้อ  พร้อมยันบริหารโปร่งใสพร้อมให้ตรวจสอบ  

วันที่ 19 ธ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ผู้ปกครอง  และตัวแทนนักเรียนโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งที่ อ.นาโพธิ์  จ.บุรีรัมย์  ได้รวมตัวกันถือป้ายชุมนุมที่หน้าอาคารเรียน   เรียกร้องให้ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4  เข้ามาตรวจสอบการบริหารงานของผู้อำนวยการโรงเรียน   

โดยกล่าวหาว่า ผอ.มีพฤติกรรมบริหารงานไม่โปร่งใสหลายโครงการ  อาทิ “เงินทัศนศึกษาปีงบประมาณ 63 , 64, 65  ,   เงินโครงการโคกหนองนาโมเดล ปี 64 – 65  อยากทราบว่าเอาเงินจากส่วนไหนมาจัดทำโครงการ เพราะทราบว่าน่าจะโยกจากงบกีฬาสีของเด็กมาทำ  ,  อยากให้ตรวจสอบเงินโครงการ การประเมินโรงเรียนพระราชทาน  , การจัดซื้อจัดจ้างการทำป้ายโรงเรียนมาตรฐานสากลหน้าโรงเรียน ,  รวมทั้งตรวจสอบว่า ผอ. เอาเงินโรงเรียนไปใช้จ่ายส่วนตัวในการเรียนด็อกเตอร์หรือไม่  ,  รวมถึงการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์โครงการการป้องกันโควิด-19 , ,  การแต่งตั้งรองรักษาการณ์เพราะอะไรและมีประโยชน์อย่างไรหรือต้องการสร้างอิทธิพลใน ร.ร.  , ตรวจสอบงบกีฬาสีหายไปไหนเพราะทราบว่าเหลือเงินเพียง 10,000 บาท และที่ผู้ปกครอง และเด็กรับไม่ได้คือ ผอ.ใช้คำพูดบูลลี่เด็กนักเรียนเพศที่สามหรือเพศทางเลือก  ทำให้เด็กน้อยใจอับอายจนไม่อยากไปโรงเรียน    

ทั้งนี้เด็กนักเรียนยังพาผู้สื่อข่าวไปดูห้องน้ำทั้งหญิงและชาย  พร้อมให้ข้อมูลว่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาโรงเรียนมีการจัดผ้าป่า และบุญกุ้มข้าวใหญ่ โดยให้ผู้ปกครองนำข้าวเปลือกมาบริจาคแล้ว ร.ร.นำไปขายเพื่อสมทบเงินซ่อมห้องน้ำโรงเรียน   แต่จนถึงปัจจุบันห้องน้ำก็ยังมีสภาพชำรุดผุพังเหมือนเดิม  แต่ไม่รู้ว่าเงินหายไปไหน   ผู้ปกครองเคยสอบถามทาง ผอ.และผู้บริหารหลายครั้ง  แต่ไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานออกมาชี้แจงได้   จึงได้พากันมารวมตัวป้ายชุมชนเพื่อเรียกร้องให้ทางเขตฯ เข้ามาตรวจสอบการบริหารงานของ ผอ.ด้วย   และช่วงที่มีการตรวจสอบก็อยากให้ย้าย ผอ.ออกไปชั่วคราวก่อน  เพื่อความโปร่งใสในการตรวจสอบ 

ด้าน นายอุรวิศ  อุปมา  ตัวแทนผู้ปกครองที่มาร้องเรียน  บอกว่า  อยากให้ทางเขตฯ เข้ามาตรวจสอบการบริหารงานของ ผอ. เพราะเชื่อว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใสในหลายโครงการ โดยเฉพะการโยกงบกีฬาสีไปทำอย่างอื่นซึ่งผิดวัตถุประสงค์และไม่เกิดประโยชน์กับเด็กนักเรียน   รวมถึงเงินจัดผ้าป่า หรือที่มีผู้ปกครองบริจาคให้ทาง ร.ร.เพื่อซ่อมแซม และพัฒนาจุดต่างในโรงเรียน  ก็ไม่มีหลักฐานที่สามารถชี้แจงได้ ทั้งยังขู่นักเรียนว่าหากใครมาชุมชนประท้วงจะทำโทษไม่ให้จบการศึกษา

ขณะที่น้อง พีพี. นักเรียนชั้น ม.5  ซึ่งเป็นเพศที่สาม บอกว่า  ช่วงที่มีการแข่งศิลปะหัตถกรรมนักเรียนตนเองและเพื่อนอีกหลายคน  ก็พากันไปทำฉากที่ข้างบ้านพัก ผอ.ซึ่งเป็นสถานที่โล่ง  ซึ่ง ผอ.ก็เดินมาดู ตนก็เลยพูดกับ ผอ.ว่า ผอ.ค่ะหนูขอตังค์ซื้อขนมได้มั๊ย  แต่ ผอ.กลับตอบมาว่า “ตัวใหญ่เท่าควายตู้ก็ยังอยากกินขนม”  ก็รู้สึกเสียใจไม่คิดว่าเป็นถึงผู้บริหารจะพูดแบบนี้  เพื่อนๆ ที่ได้ยินก็ยังพูดว่าทำไม ผอ.พูดแรงจัง  ตอนนั้นกลับไปบ้านถึงกับร้องไห้  และนอกจากตนเองก็มีนักเรียนอีกหลายคนที่เป็นเพศที่สามถูกบูลลี่ด้วย  ก็รู้สึกรับไม่ได้อยากให้ทางเขตฯ ตักเตือน ผอ.ด้วย

โดย นายสมิงไพร  สุนทะวงษ์   ผอ.โรงเรียน  ก็ออกมาชี้แจงว่า ที่ผู้ปกครองและ นร.มาในวันนี้ตนไม่ได้มองว่าเป็นการประท้วง  แต่เป็นการมาซักถามข้อสงสัยในหลายๆ โครงการที่โรงเรียนดำเนินการ  ซึ่งตนยืนยันว่าได้ดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนอย่างถูกต้องโปร่งใส  และสิ่งที่ทำก็เพื่อประโยชน์ของนักเรียนและโรงเรียน   ก็อยากจะขอความเป็นธรรมเช่นกันเพราะตนเองเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานเต็มที่ เพื่อโรงเรียนเกิดการพัฒนา  ซึ่งผู้ปกครองส่วนมากเขาก็ยอมรับและรัก ผอ. ก็พร้อมให้ทางเขตฯ ตรวจสอบ  

ส่วนเรื่องที่เด็กร้องว่าถูกบูลลี่นั้น  ชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาจะบูลลี่แต่ยอมรับว่าได้พูดกับเด็กจริงว่า “ โตเป็นควายแล้วยังจะซื้อขนมกินอยู่เหรอ” เป็นการพูดหยอกล้อเล่น  แต่ถ้าเด็กเขาเข้าใจว่าเป็นการบูลลี่ ผอ.ก็ได้ขอโทษเด็กไปแล้วไม่ได้ตั้งใจจริงๆ  เพราะตนเองชอบทำตัวเป็นกันเองกับนักเรียนและชอบพูดภาษาถิ่น คือภาษีอีสานกับเด็ก  แต่ถ้าเด็กคิดว่าเป็นการบูลลี่คราวหน้าก็จะระมัดระวังคำพูดให้มากขึ้น