ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ความสุขที่แท้ของชีวิต ใช่จะหาได้จากเงื่อนไขอันตื้นเขินเฉพาะตัว โดยเฉพาะการหลงติดอยู่กับเงื่อนไขแห่งความเชื่อมั่นจากมายาคติเดิมๆว่า...มันเกิดขึ้นเพราะการเป็นคนดี...ความมาดหมายที่หลงจริตนี้ทำให้เกิดความหลงจริตต่อเนื่องกันมาว่า...เพียงแค่ประพฤติปฏิบัติ ติดอยู่กับวังวนของการสำคัญตนว่าเป็นคนดี ก็พอเพียงแล้วกับการอ้างตัวว่าเป็นผู้สมบูรณ์พร้อมในความสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งๆที่หัวใจในการดำรงอยู่ที่แท้นั้น กลับเต็มไปด้วยความมืดดำแห่งความหลงเชื่อถึงความดีงามอันจอมปลอมอยู่ซ้ำๆ”

เหตุนี้...นี่จึงเป็นปฐมฐานแห่งความเชื่อเชิงการวิพากษ์ที่ว่า..ขอให้ “เลิกเป็นคนดีแล้วจะมีความสุข” ความหมายแห่งความคิดเชิงกลับด้านนี้ ได้กลายเป็นนิยามแห่งนามของ...หนังสือทางความคิดที่มีน้ำหนักแห่งคุณค่าที่เหมาะแก่การเรียนรู้สู่ยุคสมัย ที่โลกเต็มไปด้วยเงื่อนปมแห่งความย้อนแย้ง อันยากจะควบคุม...

“เลิกเป็นคนดีแล้วจะมีความสุข” หนังสือของ... “โกะโดะ โทคิโอะ” นักเขียนชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีสถานะเป็นผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและการพัฒนาธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้านการเงิน...ผู้มีมุมมองที่แปลกต่างโดยเฉพาะในวิถีการทำงานร่วมกับคนอื่นที่เขามุ่งเน้นให้เรากล้าเป็นคนที่แปลก  โดยกล้าปะทะกับคนอื่นเพื่อแสดงความเป็นตัวเองออกมา รวมทั้ง การเป็นคนกล้าแหกกฎ และกล้า... ที่จะทะเลาะกับคนอื่นแบบผู้ใหญ่ แทนที่จะสยบยอมและมุ่งทำงานให้เข้ากับคนอื่นได้เพียงเท่านั้น...โดยเขาได้แสดงความคิดเห็นต่อนัยเช่นนี้ว่า...

“การกระทำดั่งนี้ กลับมีส่วนที่จะทำให้มีคนอยากสนับสนุน  และติดตาม ทั้งการกระทำและความเป็นตัวเรามากขึ้น เนื่องเพราะผู้อื่นได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา และทำให้พวกเขาเหล่านั้น...รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย”

“โทคิโอะ” มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนรู้ตามแนวทางของเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็น...การมุ่งให้เราเลิกใช้ชีวิตในสังคมที่ปรับแปลงซึ่งถูกสร้างขึ้น ตัวอย่างเช่นโรงเรียน ที่เป็นสังคมซึ่งสุ่มเลือกให้เด็กๆหลายคมมาอยู่ร่วมกัน โดยจริงๆแล้วก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทำให้พวกเขา เข้ากันได้กับทุกคน...เพราะ..

 “พวกเขาไม่ได้เลือกที่จะอยู่ในสังคมแห่งนี้ตลอดไป...” เหตุนี้เราทุกคน...จึงสมควรที่จะเลือกกำหนดคนที่เราจะต้องตัดออกจากชีวิตไป และ เลือกกำหนดที่จะคบคนที่ได้ใช้ชีวิตในแนวทางเดียวกันกับเรา...อันเป็นผลที่จะทำให้เราได้ใช้ชีวิตท่ามกลางกลุ่มคนที่เราปรารถนาจะมีชีวิตร่วม...แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตไม่ได้ตามนี้ก็จะไม่อาจหลุดพ้น จากความกดดัน ตลอดจน การผูกมัดจากสายตาของผู้อื่นไปได้...เราจึงจำเป็น...ที่จะต้องมีความจริงใจต่อตนเอง ค้นหาตัวตนของตนเอง จนสามารถรู้ว่า...ตัวของเราชอบหรือไม่ชอบอะไร...กระทั่งสามารถเลือกใช้ชีวิตตามปรารถนาอันแท้จริงของตัวเองได้...

แม้ว่าผู้อื่นจะไม่เห็นด้วย...แต่... “โทคิโอะ” ก็ได้แนะนำว่า...ไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องมีเพื่อนเยอะๆตามที่สังคมคาดหวัง จนต้อง แสร้งใส่หน้ากากปั้นหน้าเข้าหาผู้อื่น....ครั้นเมื่อต้องเข้ากลุ่มสังคม...เราก็ยิ่งต้องรักษาระยะห่าง...และไม่ต้องเข้าไปพัวพันมากเกินจำเป็น..

“เพื่อนที่คุยกันได้อย่างสนิทแนบชิดนั้น มีแค่คนเดียวก็ถือว่าพอแล้ว” ว่ากันว่า...ถ้าเลิกเป็นคนดีแล้ว...ก็จะเกิดผลดีแก่ตัวดังนี้.. “เราจะกล้ายืนหยัดในความคิดของตนเอง กล้าจะบอกปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ สิ่งไม่สามารถทำได้ หรือ สิ่งที่ทำไมไม่ไหว/ซึ่งนั่นก็จะทำให้เราไม่ต้องถูกคนอื่นเอาเปรียบอีกต่อไป” “เราจะไม่ต้องเสแสร้ง และไม่ต้องเหนื่อยยากที่จะต้องกังวล และ คอยแคร์สายตาของรอบข้าง อีกต่อไป” “เราไม่ต้องไปกลัวว่า...ใครจะไม่สนใจ /...ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปโกหกคนอื่น เพื่อให้เขามาชื่นชม ไม่ต้องหาข้ออ้าง เพื่อปกป้องตัวเอง/...ทุกสิ่งในชีวิตจะดำเนินไปอย่างง่ายขึ้น”

การเป็นคนดี...อาจเป็นนัยที่ย้อนแย้งตามความคิดและสายตาของ “โทคิโอะ” ที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้...มันหมายถึง..คนที่ทำตัวให้เป็นที่นิยมชมชอบ เพื่อไม่ให้ถูกเกลียด / ทุกคนในโลกนี้ดูเหมือนว่าต้องการ ความชื่นชม ต้องการเป็นที่ชื่นชอบ และการไม่ถูกใครเกลียดชัง /...นั่นอาจนำไปสู่ความเชื่อมั่นที่ว่า..จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข โดยไม่ต้องกดดันตนเอง...เพราะถ้าคอยกังวลว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร....จะถูกเกลียดชังจากผู้อื่นหรือเปล่า ....ความนิยมส่วนตัวของตนจะลดลงไหม...นั่นจะเป็นผลใหญ่หลวง ต่อการมองข้ามความรู้สึก หรือความคิดที่แท้จริงของตนเอง...

ดังนั้น เราจึงควรที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เสียเปรียบต่อคนอื่น โดยการ...เลิกเสียสละตัวเอง...เพราะคนที่ตนต้องมารองรับหรือตอบสนองอารมณ์ของคนอื่น ถึงขนาดต้องยอมเก็บกดตัวตนไว้...จริงๆแล้ว ก็เป็นคนที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ แต่หากเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริงแล้ว...ก็ย่อมต้องตัดสินใจได้เองเลยว่า...สิ่งนี้อาจจำเป็นหรือไม่สำหรับเรา และบางครั้งการตัดสินใจของเราก็อาจขัดแย้งกับคนอื่น การขัดแย้งกับผู้อื่นใช้พลังงานมาก ดังนั้นผู้ที่หวังจะเป็นคนดี จึงกลัวการขัดแย้งกับผู้อื่นเสมอ....

เราต้องเลิก...กลัวการปะทะกับผู้อื่น...คนดีมักกลัวเวลาปะทะกับผู้อื่น ดังนั้นแม้ไม่พอใจคำพูดหรือพฤติกรรมของอีกฝ่าย ก็จะไม่แสดงออกเพราะกังวลว่า ถ้าทะเลาะขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรดี แต่สิ่งนี้กลับทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีได้ง่าย บางครั้งก็ควรทะเลาะกันบ้าง เพื่อช่วยซ่อมแซมรักษาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น...

เราต้องเลิก...เก็บซ่อนความรู้สึกแท้จริง..เพราะคนดีมักหาพรรคพวกที่เชื่อใจกันได้ยาก แม้กระทั่งในการทำงาน คนเราจะรู้สึกชอบหรือเกลียดใคร เมื่อรับรู้ถึงนิสัยของคนๆนั้น แต่คนดีมักซ่อนตัวตน และความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไว้ ทำให้ผู้อื่น รู้สึกถึงเสน่ห์ของเขาได้ยาก และไม่อาจเชื่อใจไปด้วย...

และที่สำคัญที่สุด...เราต้องเลิกปั้นยิ้มเสแสร้ง..เพราะคนเรานั้น ย่อมมีขีดจำกัด โดยเฉพาะคนดีที่ต้องคอยเกรงใจผู้อื่น และปั้นยิ้มเสแสร้ง .เมื่อถึงบ้านย่อมแสดงความเหนื่อยหน่ายออกมา ให้เห็นถึงอาการเหนื่อยกับการพบปะผู้คน ..มันน่าจะเป็นเพราะรู้สึกตื่นเต้น..และเหนื่อยล้าทางใจ จึงไม่ควรฝืนตนเองมากเกินไป ควรจัดตารางเวลาการใช้ชีวิตใหม่ เป็นวันที่พบปะผู้คนกับวันที่ไม่เจอหน้าใครเลย จะทำให้เราช่วยลดความเหนื่อยสะสมลงได้..

อย่างไรก็ดี...ในสภาวะของความเป็นคน...ที่สมควรเป็นโดยแท้นั้น... “โทคิโอะ” ได้ให้คำแนะนำว่า...เราจะต้องมีความเชื่อ และความเชื่อที่มีมีสาระอันจำเป็นและสำคัญนั้นก็คือ...ให้เลิกคิดเป็นแค่คนธรรมดา...เลิกแคร์สังคม และ เลิกทำตามกฎ...

การเลิกคิดเป็นแค่คนธรรมดา...หมายถึงว่า เราควรใช้ชีวิตให้สนุกสนาน และมีความหมายมากกว่าที่เป็นอยู่..หากปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบ อยู่คนเดียว ไม่ต้องการความโดดเด่น อาจเหมาะที่จะเป็นคนดีต่อไปก็ได้ แต่ถ้าหากอยากทำสิ่งใดให้เต็มที่ อยากประสบความสำเร็จสักอย่าง ก็ต้องเลิกเป็นคนดี และหัดทำตัวเป็นคนประหลาด คือคนที่แม้แต่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่จะมอง คิด และ หัดทำไม่เหมือนกับคนอื่น  หากเราคาดเดาการกระทำของอีกฝ่ายได้ ก็ย่อมเกิดความสบายใจ แต่ขณะเดียวกันก็อาจถูกมองว่าน่าเบื่อ จึงจำเป็นต้องขยายขอบเขตความคาดหวัง ของอีกฝ่ายให้กว้างขึ้น ต้องคิดคำพูดหรือคำวิพากษ์ ที่ทำให้คนรอบข้าง มองภาพลักษณ์ของตัวเราต่างไปจากเดิม...ซึ่งก็จะทำให้อีกฝ่ายมองว่า...เป็นคนที่คาดเดาได้ยาก หรืออยู่เหนือความคาดหมายนั่นเอง...

ส่วนการแคร์สังคม ...ก็เป็นแค่ความกลัวว่า คนอื่น จะมองเรายังไง ที่เกิดขึ้นในใจของเราเอง ทั้งๆที่คนอื่นที่ว่านั้น ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง การไม่แคร์สังคมก็น่าจะทำให้เราใช้ชีวิต...ได้อย่างอิสระ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ ก็คือการคิดถึงสิ่งต่างๆ ว่ามันก็เป็นแบบนี้แหละ โลกเรามีความหลายประเภท หรือถ้าจะมองก็ช่วยไม่ได้ และหันกลับมาคิดถึงตัวเองว่า...นี่แหละตัวตนของฉัน ถ้าใครจะเกลียดก็เชิญ เมื่อคนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน..ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป ทั้งยังปฏิบัติตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมา และ ไม่ต้อง ปิดบังอะไร...

ในสภาวะการเลิกทำตามกฎนั้น...มันหมายถึงว่า คนดีจะเชื่อ หรือทำตามสิ่งที่คนอื่นเชื่อ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง คนเหล่านี้มักทำหรือแสดงออกมาอย่างพอประมาณและไม่ขัดแย้งกับคนอื่น ทั้งยังหลีกเลี่ยงการกระทำที่แตกต่าง และปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด แต่บางครั้งก็มีกฎที่ไม่สมเหตุผล ทำให้เสียผลประโยชน์หรือไม่ควรปฏิบัติตาม คนที่ทำตามสิ่งที่สังคมเชื่อ...จะโดนผู้อื่นบงการ และ ไม่ถนัดการวิเคราะห์ พวกเขาแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างไม่ได้ จึงชอบโยนความผิดให้ผู้อื่น...

เราต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ ปัญหาของตัวเองก็ต้องแก้ไขเอง และต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ ...การรับผิดชอบตัวเองนี้ ไม่ใช่การยอมรับผิด แต่หมายถึง...ให้เราทำสิ่งที่ทำได้ให้เต็มที่เสียก่อน...

โดยสรุปแล้วคำสอนโดยภาพกว้างจากหนังสือเล่มนี้..เหมือนจะตอกย้ำกับเรา ให้เชื่อในโครงสร้างแห่งความเชื่อทีว่า...”เราต้องเลิกเป็นคนมีศีลธรรม”....เพราะคนดีมีศีลธรรม และยึดติดกับแบบแผนต่างๆ หากคิดให้ดีจะพบว่า ไม่ได้เสียหายเป็นการส่วนตัว...จึงไม่จำเป็นต้องกังวล และไปยึดติดกับสิ่งที่ไม่มีมูลเหตุ ถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดโปร่งโล่งใจ

การรู้จักคิดอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่ทำตามสิ่งที่คิดไปเองคนเดียว โดยไม่มีมูลเหตุความเชื่อ การไม่ยึดติดศีลธรรมที่คิดมากไปเอง หรือแบบแผนของสังคมแล้ว จะเกิดความเสียหายขึ้นอย่างไรนั้น การคิดแบบนี้ถือเป็นวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากสายตา ที่น่าอึดอัดของสังคมได้...

.....นี่คือหนังสือที่มีค่าต่อการอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์เล่มหนึ่ง มันชี้แนะและสอนสั่งถึงกระบวนวิธีคิดที่อยู่ข้างตัวเองของความเป็น”มนุษย์เสรี”ที่ไม่โดนปิดกั้นและติดอยู่กับคอกขังของอำนาจอันคุกคามและกดทับ ...เป็นแนวทางที่สนับสนุนถึงการใคร่ครวญแห่งมโนสำนึกที่จะรักและยกย่องตัวเองอย่างเป็นเอกภาพและมีคุณค่า...ด้วยการเน้นย้ำถึงการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลให้เท่าเทียมกัน ด้วยการควบคุมระดับอารมณ์ของตนเอง ให้พอดีกับอีกฝ่าย..เมื่อระดับของอารมณ์ความรู้สึกต่างกันมาก...

เมื่อเป็นเช่นนั้น มันย่อมทำให้เกิดความไม่กลมกลืนกัน อันจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันไปกันไม่ได้ และย่อมต้องทำให้ชีวิตของทุกฝ่ายประสบกับความล่มจม หากไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราต้องแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาให้ชัดเจน...หรือพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ชัดเจนว่า..“คนอื่นก็เป็นคนอื่น ....เราก็เป็นเรา”

“อาคิรา รัตนาภิรัต”แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างเข้าใจและเนียนแนบความรู้สึก... การสื่อความหมายในแต่ละบทตอนแสดงถึงความเข้าใจในสาระเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง เป็นคำอธิบายในอธิบายที่สื่อถึงความคิดต้นแบบที่แท้จริงออกมาอย่างแม่นตรงยิ่ง.........

“ถ้าใครกลัวคนอื่นเกลียด ให้ลองคิดดีๆว่า...หากถูกเกลียดแล้วชีวิตเราจะลำบาก หรือเกิดผลเสียอะไรบ้าง แล้วลองนำมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งข้อเสียของการถูกเกลียดก็น่าจะมีแค่...การมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ทำให้พูดคุยกันลำบาก...ก็แค่นั้น...”