วันที่ 14 ธ.ค.65 จากกรณีผู้ปกครองนักเรียน ร้องมูลนิธิปวีณาฯ ว่าลูกชาย ม.1 ร่วมกับเพื่อนรวม 5 คน ได้แอบขโมยน้ำชาเขียว-ขนม ร้านค้าในโรงเรียนดังในอำเภอเชียงคำ และเรียกเงินคนละ 1 แสน แลกกับการไม่ดำเนินคดี ตามข่าวที่นำเสนอในสื่อต่างๆ นั้น

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุดังกล่าว ได้เข้าไป สัมภาษณ์ น.ส.สเตฟานี่ (ขอสงวนนามสกุล) เจ้าของร้านค้า เผยว่า เด็กกลุ่มดังกล่าว ได้เข้ามาขโมยของที่ร้านมาแล้วหลายครั้ง โดยทำกันเป็นขบวนการ มีคนดูต้นทาง บังกล้องวงจรปิด แอบยื่นของและซุกไว้ใต้เสื้อกันหนาว โดยเด็กเหล่านี้รู้มุมกล้องวงจรปิดว่ามุมไหนเป็นจุดอับเป็นอย่างดี 

น.ส.สเตฟานี่ เปิดเผยต่อไปว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 65 ที่ผ่านมาเด็ก กลุ่มนี้ได้เข้ามากระทำการถึง 2 ครั้ง คือครั้งแรกช่วงเวลา ประมาณ 8 โมงเช้า และ ครั้งที่ 2 เวลา ประมาณ 9 โมงเช้า ซึ่งทางพนักงานทางร้านได้จับตาสังเกตพฤติกรรมของเด็กกลุ่มนี้มาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน 65 ทางร้านก็เคยจับได้ว่า ขโมยน้ำหวานและขนม จนต้องเรียกเก็บเงินเท่ากับสินค้าที่ขโมยไป พร้อมกับนำตัวเด็กๆไปส่งให้ทางฝ่ายกิจการ ห้องปกครองให้อบรมตักเตือนและหักคะแนนความประพฤติไปแล้ว แต่เด็กกลุ่มดังกล่าวยังกลับมากระทำผิดซ้ำอีก ซึ่งแต่ละครั้งจะขโมยของที่มีราคาแพงมาก ทำให้ร้านค้าต้องเสียหายหลายบาท ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทางร้านรับไม่ได้ อีกอย่างจะได้เป็นการป้อมปรามไม่ให้เด็กมีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย ต่อไปในอนาคตเด็กๆ อาจจะต้องคดีอาชญากรรมที่มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นติดคุกติดตาราง เด็กที่กระทำผิดในวันนี้ ควรได้รับรู้ถึงผลที่จะตามมาว่าจะเกิดความเสียหายต่อตนเองและครอบครัวขนาดไหนในการที่ตนกระผิดในครั้งนี้ และจะได้ปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนดีในอนาคต 

ด้าน นายจตุภูมิ แจ่มฮ้อม ผอ.โรงเรียนที่เกิดเหตุดังกล่าว และนายเดชฤทธิ์ รัตนขอดสกุล รอง ผอ.โรงเรียน เผยว่า เด็กกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 คน ที่ทางร้านจับได้พร้อมหลักฐาน มี 3 คน และอีก 2 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้นอยู่ในกระบวนการสอบสวน แต่ก็ได้เรียกผู้ปกครองทั้งหมดเข้ามาไกล่เกลี่ย ในตอนเช้าวันนี้ (14 ธ.ค.65) โดยเบื้องต้น ทางร้านเรียกค่าปรับรายละเงิน 1 แสน แต่เจรจาตกลงกันแล้วเหลือ 5 หมื่นบาท ซึ่งทางโรงเรียนและผู้ปกครองก็เจรจาต่อรองกันอีกครั้งจนเหลือ 25,000 บาท ซึ่งผู้ปกครองเด็กทั้ง 3 ราย ยินดีจ่ายให้โดยไม่ให้เป็นคดีความ ส่วนเด็กรายที่ 4-5 ที่ร่วมอยู่ในกลุ่ม ได้เข้ามาพูดคุยเจรจาเพียงคนเดียว ซึ่งหลังจากทางโรงเรียนและร้านค้าได้ พูดคุยสอบถามแล้วเด็กรายที่ 4 นี้ไม่มีความผิดหรือไม่มีส่วนร่วมจึงได้ให้เด็กกลับไปเรียนตามปกติ  ส่วนผู้ปกครองเด็กรายที่ 5 ที่ไปร้องต่อมูลนิธิปวีณาฯ นั้นไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือทำความเข้าใจเป็นทางร้าน ซึ่งทั้งนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเรียกปรับเงินใดๆ ทั้งสิ้น ทางโรงเรียนได้พยายามติดต่อกับเด็กและผู้ปกครองให้เข้ามาพูดคุยกันแล้วแต่ผู้ปกครองของเด็กก็ไม่ขอเจรจาใดๆ จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้ 

ทั้งนี้ทางโรงเรียนและทางร้านจะต้องปรับมาตรการดูแลทั้งกล้องวงจรปิดและพฤติกรรมของเด็กให้มากกว่านี้ ซึ่งถือว่าเคสนี้เป็นรายแรก เพื่อจะได้เป็นกรณีศึกษาแก้ไขปัญหาต่อไป