ม็อบหนุนกัญชา บุกสภา 14 ธ.ค. ขู่คว่ำ กม.เจอบทเรียนเจ็บปวดแน่ ด้าน  หมอยาพื้นบ้าน ขอฝ่ายค้านอย่าตีรวนให้ร้ายกัญชา เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง พร้อมหนุนชาวบ้านมีสิทธิใช้กัญชาดูแลสุขภาพ
       
       
         เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายประชาชน เพื่อการมีกฎหมายควบคุมกัญชาในประเทศไทย นำโดยนายประสิทธิชัย หนูนวล นายอัครเดช ฉากจินดา นายอร่าม ลิ้มสกุล ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือลุงดำ รศ.ดร.พิพัฒน์ นนทนาธรณ์ นายกสมาคมนักวิจัยด้วยสมาคมนักวิจัย พร้อมด้วย ตัวแทนวิสาหกิจชุมชน เกษตรกร ผู้ป่วยและญาติ ตัวแทนภาคธุรกิจแบบอุตสาหกรรม ได้นัดรวมตัวกันที่หน้ารัฐสภา ในวันที่ 14 ธ.ค. 2565 เพื่อแสดงเจตนารมณ์ให้สภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ.  ในวาระที่ 2 ต่อไป
       
  โดยนายประสิทธิชัย หนูนวล หนึ่งในแกนนำ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ประชาชนมาร้องขอให้ออกกฎหมายบังคับใช้กับตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดภาวะกัญชาเสรี แต่ ส.ส. จะไม่ออกกฎหมาย และตะโกนว่า ไม่ต้องการกัญชาเสรี แต่ไม่ให้ออกกฎ หมาย มันดูย้อนแย้ง ถ้าวันที่ 14 ธ.ค.นี้ มีการคว่ำ หรือมีการตีรวน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ประชาชนทั่วประเทศ จะให้บทเรียนที่เจ็บปวดกับท่านเอง ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้
      
   ด้าน นายสนธยา แซ่โย้ หรือ หลวงสน หมอยาเกาะพะงัน ที่รักษาคนไข้ด้วยกัญชาให้หายนับหมื่นราย กล่าวว่า ตนใช้กัญชารักษาคนไข้มานาน 3 ปี กว่า มีหลักฐานและผลการรักษาอย่างแน่ชัด ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยคนไข้ที่เข้ารับการรักษาด้วยกัญชา ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์หายเป็นปกติ ส่วนที่รักษาไม่หายมีหลายสาเหตุ 1.เพราะอาการหนักมามากแล้ว 2.ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ และ 3.คนไข้บางรายร่างกายไม่รับ ซึ่งมีเป็นจำนวนน้อย นอกจากนี้ ตนยังได้ร่วมทำวิจัยร่วมกับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อนำกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ด้วย
      
   นายสนธยา กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่ได้เห็นด้วยกับกัญชาเสรี ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายมาควบคุม แต่สิ่งที่กังวลเวลานี้คือ การตีรวนของฝ่ายคัดค้านที่จะคว่ำ พ.ร.บ.กัญชา มีการเบี่ยงเบนประเด็นเลือกใช้วาทกรรมที่ตัวเองได้ประโยชน์ในทางการเมือง ให้ร้ายกัญชา ทั้งที่กรรมาธิการฯ ที่ประกอบไปด้วยทุกพรรคได้ผ่านการพิจารณามาแล้ว 1 วาระ โดยไม่มีเสียงคัดค้าน นอกจากนี้ยังมีการปล่อยข่าวรายวันให้ร้ายกัญชา โดยพุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน โดยไม่ได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงทั้งหมด ภาพที่ปรากฏในหน้าสื่อ คนวงในกัญชารู้ดีว่า ความจริงมันเป็นอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ได้ มากน้อยแค่ไหน ตนทำงานกับเด็กมานับสิบปี ตั้งแต่สมัยบวชเป็นพระ 12 พรรษา ก็มีความเป็นห่วงพวกเขาไม่แพ้กัน เมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดก็มีนโยบายที่ให้ความรู้กับเด็กและเยาวชน และแม้จะสึกมาแล้วก็ยังทำงานกับเด็กอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้ความรู้เรื่องกัญชา เพราะวิถีชีวิตของคนเกาะพะงัน ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยรู้สึกแปลกแยก คนที่นี่ใช้กันจนรู้โดส ว่าร่างกายต้องการแค่ไหน ถึงเป็นประโยชน์และแค่ไหนมากไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ เพราะมีเขาใช้ต่อเนื่องมาหลายร้อยปี
       
       ผมไม่ปฏิเสธนะว่า กัญชามันก็มีโทษ แต่ต้องดูไปถึงต้นตอว่า กัญชาที่นำมาใช้เป็นกัญชาชนิดไหน มีที่มาอย่างไร เพราะถ้าเป็นกัญชาอัดแท่งนั่น อาจปลูกด้วยการใช้สารเคมี ซึ่งกัญชาเป็นพืชที่ดูดสารพิษทุกชนิดได้ง่าย หากไม่ใช้วิธีการปลูกแบบออกานิกส์ และเมื่อนำมาอัดแท่ง ยังฉีดยาฆ่าแมลงซ้ำหลายรอบ การนำมาใช้ก็อาจเกิดอันตรายได้ และยิ่งผู้เสพย์ นำไปผสมกับยาเสพติดชนิดอื่น ซึ่งล้วนออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทมากกว่ากัญชาหลายเท่า ก็ยิ่งก่อให้เกิดอันตราย จึงต้องดูที่มาที่ไป เพราะโดยเนื้อแท้ของกัญชาไม่ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียว และคนใช้กัญชาเป็น จะเป็นคนนิ่ง สงบ มีความคิดสร้างสรรค์ และไม่ทำร้ายใคร
      
   ส่วน นายณรงค์ฤทธิ์ เกษสุวรรณ หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่า ลุงหีตปอย หมอยาเกาะพะงัน กล่าวว่า เท่าที่จำความได้ กัญชาอยู่คู่กับเกาะพะงันมานานมาก เฉพาะตระกูลของตน ก็ใช้กัญชาในการรักษาโรคมานาน 3 ชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยปู่ทวด ชาวบ้านบางคนที่มีเมล็ดพันธุ์จะนำไปหว่านในนา เกี่ยวข้าวเสร็จ จะถีบซังข้าวแล้วกัญชาจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น
      
   "กัญชาไม่เคยหายไปจากเกาะพะงัน เราใช้กันจนเป็นวิถี ทั้งการสูบ ช่วยเรื่องหอบหืด ลดความเครียด คนเป็นมะเร็งก็ใช้กัญชาทั้ง 5 ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่นอีก 2-3 ตัว โดยกัญชาเป็นครึ่งหนึ่งของยาทั้งหลาย บดเป็นผงละลายกับน้ำข้าว ปั้นเป็นลูกกลอนตากให้แห้ง จะกินก็นำมาละลายกับน้ำผึ้ง ในรายที่กินข้าวไม่ได้ นอนไม่ หลับ ปวดหัว ใช้ใบกับลำต้นต้มกินได้ ส่วนแผลพุพอง ก็นำกัญชาผสมเหล้าขาวมาพอกตัว ถ้ามีอาการบวม ก็นำมาห่อผ้าแล้วถู ซึ่งทั้งหมดมีการใช้สืบต่อกันมามีการเขียนตำราไว้"