หมายเหตุ : รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” กรณีภายหลังจากวันที่ 30 พ.ย. 65 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสูตรหาร 100 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะทำให้การเมืองไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไรจากนี้ เผยแพร่ผ่านช่องยูทูบ Siamrath เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา มีสาระที่น่าสนใจดังนี้
- ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสูตรหาร 100 ไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เป็นการส่งสัญญาณ ว่าการเมืองได้เข้าสู่โหมดของการเลือกตั้งอย่างเต็มตัวแล้ว
ในมุมของผมนี่คือสัญญาณที่ดี หลังจากนี้ไปจะมีกติกาที่ชัดเจนในการจัดเลือกตั้ง การคำนวณตัวเลขส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่จะบอกได้ว่าจะมีหรือไม่มี เป็นเรื่องทางการเมือง ตอนนี้รัฐบาลมีสองทางคือ 1.ลากเวลาไปจนครบวาระรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเมินดูแล้วว่า รัฐบาลมีความได้เปรียบ การไปต่อของเขาในพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) 2 ปีหลังยังมีความได้เปรียบ สามารถไกล่เกลี่ยต่อรองกับพรรคร่วมและพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ก็อาจจะยื้อเวลาให้นานที่สุดเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ
หรืออาจจะดูว่าไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าทุกอย่างพร้อมลงตัวหมด กฎหมายเลือกตั้งพร้อมลงตัว พรรคเล็กพรรคน้อยพอเห็นสัญญาณชัดก็ต้องประเมินตัวเองหลังจากนี้ว่าจะอยู่อย่างไร จะยุบรวม จะควบรวม และหากเห็นว่าฝ่ายค้านอาจจะมีปัญหาหรือมีบางประเด็นที่อยู่ในภาวะความเสียเปรียบ ก็อาจจะชิงยุบสภาฯก็ได้ ซึ่งเห็นอาการนี้ น่าคิดว่าการที่สภาฯล่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ต้องประเมินเหมือนกัน ว่าจะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไรกับรัฐบาลชุดนี้ในโค้งสุดท้ายของรัฐบาล
- มีหลายคนพุ่งเป้าไปที่พรรคเพื่อไทย(พท.) ในฐานะเป็นพรรคการเมืองที่น่าจะได้ประโยชน์จากกติกาการเลือกตั้งใหม่บัตร 2 ใบ สูตรหาร 100 พรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสที่จะแลนด์สไลด์โดยราบรื่นหรือไม่
ผมคิดว่าการประเมินของพรรคเพื่อไทย ได้ประเมินเรื่องนี้มานาน พรรคเพื่อไทยยืนยันมาตลอดว่าจะต้องบัตร 2 ใบ สูตรหาร 100 ซึ่งแน่นอนพรรคใหญ่มีความได้เปรียบ ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคเพื่อไทยมีความได้เปรียบมาก ณ เวลานี้ ในการที่ใช้บัตร 2 ใบและสูตรหาร 100 เพราะต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยเดินเกมหรือกำหนดยุทธศาสตร์ทางการเมืองสอดรับกับกติการัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือพ.ร.ป.การเลือกตั้งอย่างชัดเจน คือ 1.บัญชีรายชื่อ 100 คน ต้องอาศัยนโยบายที่จะสามารถทำให้คนจำนวนมากรู้สึกเห็นความสำคัญหรือความน่าสนใจของพรรค ๆ นั้น
ประการที่ 2 พรรคนั้นจะต้องมีส.ส.เขตที่มีความได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นส.ส.หน้าเก่า กลุ่มบ้านใหญ่ประจำจังหวัด นักเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งถ้าเราดูพรรคเพื่อไทยพยายามทำทั้งสองอย่า งคือทำนโยบายให้มีความน่าสนใจ ประกาศจะแลนด์สไลด์มีนโยบายครอบคลุมประชาชนจำนวนมาก และพยายามที่จะหานักเลือกตั้งประจำจังหวัด ซึ่งวันนี้จะเห็นชัด มีการโยกย้ายและไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก แสดงว่าเพื่อไทยก็ประเมินว่ากติกาที่มีการหาร 100 บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตัวเองจะมีความได้เปรียบและอาจจะมีโอกาสได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้ง
- มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร ที่พรรคพลังประชารัฐตอนนี้ต้องเริ่มถอยหลังและเกิดปัญหาเลือดไหลออกพอ ๆ กับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ ผมคิดว่ามีสถานการณ์ภาวะความตกต่ำ เลือดไหล ค่อนข้างเหมือนกัน แต่มีความต่างกัน พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาที่ซับซ้อนมากกว่า ซึ่งเป็นปัญหาภายในในการบริหารจัดการ แต่พรรคพลังประชารัฐที่เลือดไหลเพราะตัวพรรคเป็นพรรคเฉพาะกิจ ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะสืบทอดอำนาจของกลุ่ม 3 ป. และกลุ่มที่มาค้ำบัลลังก์ หรือนั่งร้านอำนาจให้กับ 3 ป. คือนักเลือกตั้งหลายกลุ่มหลายก๊วน นักธุรกิจการเมืองที่ต้องการเข้ามาต่อรอง เพื่อจะขอส่วนแบ่งในอำนาจและผลประโยชน์ เป็นพรรคเฉพาะกิจ
จึงไม่แปลกพอเวลาพรรคขาลงบวกกับแกนนำพรรคคนสำคัญหรือคนที่พรรคชูมา คือพล.อ.ประยุทธ์ ส่งสัญญาณที่จะไปร่วมกับอีกพรรคหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ประกาศอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้ก็มีความขัดแย้งกันหลายกลุ่มหลายก้อน ผมคิดว่านักการเมืองที่ให้ความสำคัญต่อความอุดมสมบูรณ์มากกว่าอุดมการณ์ก็ต้องหาแห่งที่ทางการเมืองใหม่ หาพื้นที่ใหม่ หาบ่อน้ำใหม่ จึงไม่แปลกที่มีอาการไหลออกมาของส.ส.เหล่านี้ ซึ่งก็อยู่ในการประเมินกันว่า จะไปซีกใดพรรคใดที่จะมีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล
นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องอุดมการณ์ เป้าหมายทางการเมืองของเขาคือความอุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นเขาจึงไหลออก การไหลออกแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตรหรือพล.อ.อนุพงษ์จะแตกหักจากกัน ผมคิดว่ากลุ่ม 3 ป.หรือพรรคพลังประชารัฐยังผนึกกำลังกันได้ในเชิงยุทธศาสตร์ในทางการเมืองในท้ายที่สุด แน่นอนสูตรหาร 100 ของเขาอาจจะไม่ได้เป็นสูตรที่เขารู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบ แต่เราอย่าลืมว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคที่ชูพล.อ.ประยุทธ์ และเป็นพรรคที่เอาคนที่รู้สึกว่าแนวทางของพล.อ.ประวิตรและคณะอาจจะไม่ใช่แนวทางที่เขาต้องการ บางพื้นที่ท่ามกลางคะแนนที่ตกต่ำพล.อ.ประยุทธ์ ยังขายได้ ผมคิดว่าจะมีนักการเมืองกลุ่มนี้ไหลเข้ามา และยังสามารถแตะมือกับบรรดาพรรคร่วมพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคขนาดเล็กลง แต่ยังมีคน
อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่กลุ่มคนชนชั้นนำกลุ่มนี้ หรือกลุ่ม 3 ป.ยังมีอยู่คือกลุ่มส.ว. การเลือกตั้งครั้งหน้าส.ว.ยังมีความสำคัญในการเลือกโหวตนายกรัฐมนตรี ไป ๆ มา ๆ ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างมีความได้เปรียบกัน พรรคเพื่อไทยมีความได้เปรียบในแง่ของถ้าเขาแลนด์สไลด์ได้ และสามารถรวบรวมเสียงที่เรียกว่าฝ่ายประชาธิปไตยได้เกิน 300 เขาก็สามารถปิดสวิตช์สว.ได้แต่ถ้าเขารวบรวมได้ไม่ถึง ก็เปิดทางให้กลุ่มนี้ อาจจะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์เยอะ แต่เขาได้ฐานคะแนนนิยมจากบรรดาส.ส. นักเลือกตั้งประจำจังหวัด อีกทั้งยังมีสว.
ซึ่งจะมีความได้เปรียบกันคนละมิติในการต่อสู้ทางการเมือง พรรคพลังประชารัฐเลือดไหลแน่นอนและยังมีเงื่อนไข ยังมีสิ่งที่ทุกคนพยายามจะตั้งข้อสังเกต เช่น เรื่องกลุ่มทุนจีนสีเทามาเกี่ยวข้องพัวพันอย่างไรกับ พรรคพลังประชารัฐรวมถึงพรรคอื่น ๆ ด้วย เหล่านี้ผมคิดว่าไม่มีความบังเอิญในทางการเมือง การเกิดขึ้นของบรรยากาศแบบนี้และคนที่ออกมาแฉ คนที่ออกมาพูดแบบนี้ คนปกติพูดไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีใครที่ให้สัญญาณกำหนดให้เล่นเกมการเมืองเพื่อกระทบอะไรบางอย่าง
ผมเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐกำลังโดนบีบ เพื่อที่จะให้เขาต้องมีความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะท่าทีของพล.อ.ประวิตร ก่อนหน้านี้ ผมเชื่อว่า 3 ป. ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน แต่ด้วยความที่พล.อ.ประวิตรเป็นคนที่มีบารมีเยอะมาก กว้างขวาง มีเครือข่ายเยอะมาก ซึ่งก็อาจจะถูกมองไปได้เช่นเดียวกัน ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไปต่อไม่ได้ พล.อ.ประวิตรยังมีบารมี ยังมีส.ส. ยังมีพรรคพลังประชารัฐและถ้าพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ไม่ได้ พรรคเพื่อไทยอาจจะต้องจับมือกับพล.อ.ประวิตร
- หลังการเลือกตั้งรอบหน้า เราจะได้เห็นบิ๊กเซอร์ไพรส์หรือไม่ เช่น กรณีพรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐต่างคนต่างขั้ว จะมีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่
ต้องตั้งหลักก่อนว่า การเมืองไทยไม่ได้เป็นการเมืองที่อยู่บนอุดมการณ์ที่แท้จริง ความอุดมสมบูรณ์ต่างหากที่เป็นอุดมการณ์ที่แท้จริงของนักการเมืองไทย พอชุดความคิดและอุดมการณ์ที่การที่แท้จริงเป็นแบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้และถ้าเราดูร่องรอยหลักฐานการพูดการสื่อสารของนักการเมืองในซีกเพื่อไทยหลาย ๆ ครั้ง เขาก็ไม่ตอบให้ชัดว่าจะไม่ร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ปิดประตู แต่ในเงื่อนไขและสมการนั้น ต้องไม่มีพล.อ.ประยุทธ์
แสดงว่าเขามองว่าพล.อ.ประวิตรอาจจะเป็นคนที่มีลักษณะท่าทีที่มีความประนีประนอม มีบารมีทางการเมืองสูงและคนใกล้ชิดของพล.อ.ประวิตรหลาย ๆ คน อาจเป็นที่ไว้วางใจของผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยก็ได้ สิ่งที่สำคัญผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีบารมีในพรรคเพื่อไทยบอกชัดว่าครั้งหน้าต้องกลับบ้านให้ได้ นี่คือจุดที่ท้าทายการที่จะกลับบ้านได้นั้น ไม่ใช่ว่าใครชนะจัดตั้งรัฐบาลแต่ต้องคุยกับคนที่มีบารมี มีคอนเน็กชั่นมีเครือข่ายทางการเมืองค่อนข้างมาก ในการที่จะประนีประนอมและหาทางออกจากความขัดแย้งนั้น เพื่อที่จะ มีโอกาสให้เขากลับบ้านได้ ซึ่งท่าทีแบบนั้นไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน
- ถ้าเป็นแบบนี้ ในการตั้งโจทย์เรื่องการกลับบ้าน แสดงว่ามองข้ามไปหลังเลือกตั้งเลย
ผมคิดว่านักการเมืองและนักเลือกตั้งต้องประเมินหลายอย่าง เขาลงทุนกัน 50-60 ล้านบาท ไม่ได้มองที่เงินเดือนแค่ 200,000 บาท
- ตอนนี้เราเริ่มนับถอยหลัง ไม่ว่าช้าหรือเร็วการเลือกตั้งอาจจะต้องเกิดขึ้น เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ทางการเมืองแปลก ๆ ที่น่าสนใจอีกหรือไม่
อันดับแรกผมคิดว่าหลังจากนี้ไป 1. เราจะเห็นบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยจะต้องพยายามจัดการอนาคตชีวิตทางการเมืองของพรรคตัวเอง อาจจะมีการควบรวมยุบรวมย้ายพรรคกันอุตลุด เพราะมันชัดเจนแล้วว่าสูตรหาร 100 ตัวเองไม่มีประโยชน์แน่นอน 2.ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้ารัฐบาลไม่คุยกัน ส.ส.ไม่ทำงาน เราจึงเห็นปรากฏการณ์ที่สภาฯล่มมากขึ้น เพราะส.ส.จะต้องรีบลงพื้นที่
3.เราจะเห็นแต่ละพรรคเตรียมประกาศนโยบายกันอย่างเข้มข้น เพราะต้องการที่จะดึงประชาชน ดึงความสนใจ ดึงคะแนนนิยมในกลุ่มปาร์ตี้ลิสต์ โดยเฉพาะพรรคที่อาจจะมีความหวังอย่าง เช่น พรรคก้าวไกล ส.ส.เขตอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่พรรคก้าวไกลมีฐานคะแนนของกลุ่มคนชนชั้นกลาง กลุ่มคนรุ่นใหม่ นิวโหวตเตอร์ ทั้งหลายที่ค่อนข้างมาก เขาอาจจะได้รับคะแนนนิยมอยู่บ้าง ถ้าเขาทำนโยบายทั้งในเชิงมหภาคในเชิงจุลภาค เจาะพื้นที่เจาะประเด็น เจาะกลุ่มปัญหาสาธารณะ ซึ่งอาจจะต้องทำนโยบายที่เข้มข้นมากขึ้น
ประการต่อมาคือการกระจายเศรษฐกิจระดับชุมชน บรรดาส.ส. บรรดาผู้สมัคร บรรดาหัวคะแนน เครือข่ายหัวคะแนน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักการเมืองท้องถิ่นไปตระเวนกินเที่ยวกันอย่างกว้างขวาง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าซึ่งก็เห็นกันอยู่ ณ ตอนนี้ หลังจากนี้จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นอีก