"นักธุรกิจ"ชี้นโยบายการเมืองเสนอขึ้นค่าแรง 600 บาท นักศึกษาจบปริญญาตรี ได้เงินเดือน 25,000 เป็นยุทธศาสตร์โหนกระแส หวั่นทำลายเศรษฐกิจ - วิถีชุมชน "กกร."กังวลขึ้นค่าแรง 600 บาท ต้นทุนพุ่ง 70% ทุบเอสเอ็มอีพัง-นักลงทุน ตปท.หอบเงินไปประเทศเพื่อนบ้านแทน

 จากการแสดงวิสัยทัศน์ของประธานคณะที่ปรึกษาการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมาที่ ประกาศนโยบายเศรษฐกิจหากเข้ามาบริหารประเทศต้องการผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่ำเฉลี่ย 5% ต่อปี การผลักดันส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงานด้วยการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาทและเงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขั้นต่ำอยู่ที่ 25,000 บาท/เดือน ภายในปี พ.ศ.2570 ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.65 นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งออกมาประกาศยุทธศาสตร์พรรคว่าในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไปนั้น จากประเด็นดังกล่าว ตนในฐานะนักธุรกิจคนหนึ่ง อดีตเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภามาก่อน และปัจจุบันมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ซึ่งดูแลในส่วนของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำด้วยนั้นมองว่า การจะกำหนดอัตราค่าจ้างที่สูงเช่นนี้จะทำลายระบบเศรษฐกิจชุมชน วิถีชีวิตชุมชน เอสเอ็มอีไทย ซึ่งปัจจุบันอัตราส่วนประชากรที่อยู่ในแถบภาคอีสาน ภาคเหนือ ส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกร ธุรกิจบริการ ต้องพี่งพาแรงงานต่างด้าว ฉะนั้นถ้าหากกำหนดอัตราค่าจ้างเท่ากับจำนวนดังกล่าวจริง จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน จะจ้างงานไม่ได้ สุดท้ายวิสาหกิจชุมชนต้อง หายออกไปจากระบบ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชุมชนต้องล่มสลายไปในที่สุด
 
    ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.ได้มีการหารือประเด็นและข้อเสนอที่สำคัญคือ การประกาศนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง เรื่องการทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และการจบปริญญาตรีมีเงินเดือน 25,000 บาทนั้น กกร.มีความเห็นว่าการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงที่ผ่านมา มีความเหมาะสมแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดมากนัก ประกอบกับการขั้นค่าแรงขั้นต่ำมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) โดยคำนึงถึงการครองชีพของลูกจ้าง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ดัชนีค่าครองชีพ ราคาสินค้า ฯลฯ การพิจารณาปรับค่าแรงจึงต้องมองในทุกมิติ ทั้งในมุมของนายจ้างและลูกจ้าง รวมถึงการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้างซึ่งมีผลต่อการจ้างงานโดยรวม จากกรณีขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2554 ที่ถึงแม้จะดำเนินการได้สำเร็จ แต่ต้องยอมรับว่าช่วงแรกโดยเฉพาะ SME ปรับตัวค่อนข้างลำบาก

 ส่วนธุรกิจหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่บางรายก็ปรับเป็นการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน ขณะเดียวกันหากทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นการทยอยขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ทำให้ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน ขณะเดียวกันปีหน้า SME ยังคงมีปัญหาด้านรายได้และสภาพคล่องในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งประเทศไทยยังมีหลายธุรกิจที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้นทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ ดังนั้นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้ SMEs หยุดหรือยกเลิกกิจการเพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว
 
สำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่คงต้องมีการทบทวนแผนการจ้างงาน การชะลอการลงทุนในระยะสั้น หรือแม้แต่การนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้แทนแรงงาน รวมถึงการลงทุนตรงจากต่างประเทศที่อาจชะลอลงเพราะต้นทุนค่าแรงของไทยสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่ง ซึ่งส่วนนี้จะกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ