"เพื่อไทย" แถลงยันค่าแรง 600 บ.เงินเดือน ป.ตรี 25,000 ทำได้จริง หากยกระดับ ศก.ทั้งระบบ ภาคการผลิต การเกษตร มีเงินหมุนในระบบเร็วขึ้น เป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำ - รวยกระจุกจนกระจาย
วันที่ 7 ธ.ค. 65 ที่พรรคเพื่อไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ปธ.คณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าวกรณีการแสดงวิสัยทัศน์รัฐบาลเพื่อไทยในปี 2570 ประเด็นนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้จบการศึกษาปริญญาตรี 25,000 บาท
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนมีความเข้าใจดี ว่าเหตุใดจึงมีการถกเถียงในเรื่องนี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศขณะนี้ไม่ดี พรรคเพื่อไทย จึงมองภาพในอนาคตว่า หากค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 600 บาทในตอนนี้ ต้นทุนการทำธุรกิจของผู้ประกอบการจะปรับขึ้นแน่นอน เพราะสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ตกต่ำ และยังไม่เติบโต
สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 300 บาทต่อวัน จนขณะนี้ผ่านมาเกือบ 10 ปี ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นมาหลัก 10 บาท จึงเป็นเหตุผลให้เกิดปัญหา รวยกระจุก จนกระจาย คนที่ได้ประโยชน์จากค่าแรงในระดับต่ำ คือคนกลุ่มเล็กบนยอดสามเหลี่ยมเท่านั้น แต่ฐานรากซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงเดือดร้อน พรรคเพื่อไทยจึงต้องคิดใหญ่ เพื่อให้เศรษฐกิจทั้งประเทศปรับตัวดีขึ้นไปด้วยกัน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ใช่เรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณ แต่เป็นเรื่องของการปรับตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทั้งประเทศ และช่วยลดความเหลื่อมล้ำ
"เราต้องเป็นทุนนิยมที่มีหัวใจ ค่าแรงต้องปรับขึ้นเมื่อเศรษฐกิจทั้งประเทศพร้อม วันนี้ค่าแรงยังปรับเป็น 600 บาทไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี แต่เมื่อเศรษฐกิจดีแล้ว จีดีพีจะเติบโตที่ 5% ปีแรกอาจสูงกว่า ปีต่อมาอาจลดน้อยลงตามเลขเฉลี่ยแต่ละปี ทั้งหมดคือหัวใจหลัก"หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าว
ด้านดร.เผ่าภูมิ กล่าวว่า ค่าแรง 600 บาท กับปี 2570 เหมาะไหม ทำได้หรือไม่ ? คำตอบคำถามนี้ พุ่งตรงไปที่วิสัยทัศน์ของผู้พูดว่ามองประเทศไทยในปี 2570 มีหน้าตาเป็นแบบไหน หากมองยังไทยเป็นผู้รับจ้างผลิต เป็นเกษตรกรรมขั้นพื้นฐาน เป็นการท่องเที่ยวราคาถูก เป็นการผลิตที่ใช้แต่แรงงานไร้ฝีมือ ไม่แปลกใจว่าค่าแรง 600 บาท คงเป็นสิ่งที่เพ้อฝัน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่วิธีคิดของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่วิสัยทัศน์ของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ค่าแรง 600 บาท กับนายจ้าง ? นายจ้างกับลูกจ้างคือขาซ้ายและขาขวาของเศรษฐกิจ ต้องเดินไปคู่กัน การปรับค่าแรงขั้นต่ำ ต้องทำคู่ขนานกับต้นทุนนายจ้าง ซึ่งเราจะมีการออกมาตรการสำหรับผู้ประกอบการต่อไป ทั้งในเรื่องของภาษีและสิทธิประโยชน์ รวมทั้งการผลักในเศรษฐกิจขยายตัว จากนโยบายทั้งหมดของพรรคเพื่อไทย และในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปรับค่าแรง ผนวกกับการลดภาระผู้ประกอบการผ่านการลดภาษีนิติบุคคล
ขณะที่นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า จุดยืนหรือหัวใจหลักของพรรคเพื่อไทย คือ สร้างรายได้ ขยายโอกาส ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือหนี้ เราจึงต้องแก้หนี้ด้วยการสร้างรายได้ ไม่ใช่การสร้างหนี้ ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ก็กู้ เมื่อกู้แล้ว ขยายเพดานกู้ ขณะนี้ค่าจ้างแรงงานยังต่ำ รายได้ประเทศต่ำ ความเหลื่อมล้ำสูง แต่ในการแสดงวิสัยทัศน์ทั้ง 10 ประเด็นวานนี้ (6 ธ.ค.65) มีการแถลงแนวนโยบายหลายเรื่องร้อยเรียงกัน เมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ต้องมีการสร้างรายได้ใหม่ พร้อมกันไปด้วย ทั้งนี้ การแสดงความคิดเห็นของภาคเอกชนทั้งหลายที่เกิดขึ้น หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล รัฐเก็บรายได้จากกลุ่มธุรกิจ 20% จากกำไร แปลว่า รัฐถือหุ้นเอกชน 20% ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่รัฐ ที่ต้องทำให้เศรษฐกิจเติบโต เพื่อหารายได้ ในส่วนของภาคการเกษตร คิดเป็น 40% ของประเทศ แต่สร้างรายได้เพียง 8% ของ GPD จึงต้องยกระดับรายได้จากภาคเกษตรจาก 10,000 บาท/ไร่/ปี เป็น 30,000 บาท/ไร่/ปี ด้วยหลักการทำงาน ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ผลิตสิ่งที่ตลาดต้องการ ก็จะเกิดรายได้
"การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ใช่การทำลายโครงสร้าง แต่เป็นการทำงานร่วมกันในระดับไตรภาคี ต้องเกิดจากความเห็นพ้องร่วมกันระหว่าง รัฐ - ผู้ประกอบการ - ประชาชน ค่าแรงขั้นต่ำคิดขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพราะค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น พรรคเพื่อไทยรู้ว่าผลิตภาพการผลิต คือที่มากำไรของผู้ประกอบการที่จะนำมาจ่ายเงินเดือน-โบนัส แรงงานได้ ส่วนรายได้เข้าประเทศอื่นๆ อย่าง ภาคการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทยคิดจากฐานของรายได้ภาคท่องเที่ยวก่อนเกิดการระบาดของโควิด ซึ่งอยู่ที่มูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อไทยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถทำได้แน่นอนด้วยการสร้างแรงดึงดูดด้วยศักยภาพการท่องเที่ยวที่ไทยมีอยู่มากมาย และการจัดการการบิน-สนามบิน-การอำนวยความสะดวกด่านตรวจคนเข้าเมือง พรรคเพื่อไทยมีผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้แทนจากภาคธุรกิจ จากภาคประชาชน จะไม่บริหารราชการแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบปัจจุบัน"นพ.พรหมินทร์ กล่าว