วันที่ 7 ธ.ค.65 ที่ห้องอัมรินทร์ ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) หารือเรื่องการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้หน้าที่พลเมืองดิจิทัลสำหรับครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนในสังกัด กทม. ด้วยสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลหลักสูตร "อุ่นใจไซเบอร์" บนแพลตฟอร์ม LearnDi for Thais ว่า การประชุมวันนี้ ได้มีการหารือเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงกันมานานว่าจะมีการปรับหลักสูตรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ไม่ใช่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น หากรวมถึงครูผู้สอนด้วย เนื่องจาก ครูอาจจะรู้จักโลกไซเบอร์ได้ช้ากว่านักเรียน

 

นายศานนท์ กล่าวว่า โดยหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ เป็นหลักสูตรที่ มจธ.ออกแบบร่วมกับ AIS และเริ่มใช้มาตั้งแต่ต้นปี2565 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีการออกใบรับรองได้ด้วยตนเองตามขั้นตอน สามารถเรียนที่ไหนก็ได้บนแพลตฟอร์มLearnDi for Thais ซึ่งตนมองว่า เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ทันสมัย เนื่องจากการเรียนในเว็บไซต์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ที่สำคัญไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยเนื้อหาเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่เหมาะกับยุคสมัย คาดว่าประชาชนน่าจะให้ความสนใจ ทั้งนี้ กทม.โดยสำนักการศึกษา กำลังวางแผนนำหลักสูตรดังกล่าวมาปรับใช้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสาระวิชาในโรงเรียน เพื่อให้เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ครูสามารถออกแบบใบรับรองและให้คะแนนวัดผลนักเรียนได้ โดย กทม.มุ่งเน้นไปที่ข้อมูลเบื้องหลังของผู้เรียนที่เรียนไปแล้วทั้งหมดกว่า 140,000 คน พบว่า มีผู้เรียนจบถึง 90,000 คน ทำให้ทราบว่าเนื้อหาด้านใดบ้างที่น่าสนใจนำมาปรับใช้กับนักเรียนและครูในโรงเรียนต่อไป

 

เบื้องต้นจะมีการนำหลักสูตรดังกล่าวมาใช้ในโรงเรียนก่อน เพราะคิดว่านักเรียนจะได้รับประโยชน์จากแพลตฟอร์มนี้เช่น เรื่องการบูลลี่ เรื่องความปลอดภัยจากสื่อ เรื่องซื้อของออนไลน์ เนื่องจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้เท่าทันถึงผลกระทบที่ตามมาจากการใช้ ซึ่งผู้ว่าฯกทม. เน้นย้ำว่า ไม่ใช่เรื่องความปลอดภัยอย่างเดียว แต่สามารถนำหลักสูตรนี้มาใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ อาจนำเสนอเนื้อหาสอดแทรกความเท่าเทียมกันในหลักสูตรการเรียนการสอนหลักได้ในอนาคต ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว มีจุดเด่นคือ เรียนได้ทุกที่ และสามารถออกใบรับรองตามขั้นตอนจากตัวผู้เรียนเองได้ ซึ่ง กทม.เชื่อว่าแพลตฟอร์มนี้สามารถนำมาปรับใช้กับ 8 กลุ่มสาระร่วมกับการเรียนการสอนหลักได้ โดยจะมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมกันในอนาคตต่อไป และคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปี 2566