ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ใกล้ที่จะเดินทางมาถึงช่วงไคลแมกซ์แล้ว โดยบรรดา “ยักษ์ใหญ่” จากทั่วทุกทวีปต่างเร่งยกระดับฟอร์มการเล่นให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก และหวังจะเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ ให้จงได้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดา “ทีมมหาอำนาจ” ต่างลงแข่งขันโชว์ฟอร์มการเล่น อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะ “ตัวเต็ง” เบอร์ 1 “บราซิล” ที่ขนสตาร์ระดับโลกมาทั้งแผง แถมแชมป์โลก 5 สมัยอย่าง “บราซิล” คือทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรายการนี้ ทว่าหนล่าสุดที่พวกเขาเป็นแชมป์คือเมื่อปี 2002
การเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในปี 2006, 2010 และ 2018 และจบอันดับสี่ในปี 2014 ในทัวร์นาเมนต์ที่ไม่มีใครอยากจดจำ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับ “เนย์มาร์”และ “วินิซิอุส จูเนียร์” ยอดดาวดังว่าจะพาทีมคว้าถ้วย แชมป์กลับไปยังบ้านเกิดของพวกเขาได้หรือไม่
แต่ที่แน่ๆ “เปเล่” อดีตตำนานนักเตะทีมชาติบราซิล เชื่อมั่นว่า ทีม “แซมบ้า” ชุดนี้มีดีพอที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ในปี้นี้มาครอง เป็นสมัยที่ 6 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากปี 1958, 1962, 1970, 1994 และ2002
อีกทีมที่น่าจับตา รองลงมาคือ “ฝรั่งเศส” ที่พกพาดีกรี "แชมป์เก่า" ติดตัวมาด้วย หลังจากพวกเขาได้ฉลองแชมป์โลก เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ต่อจากสมัยแรกเมื่อปี 1998 ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพนั่นเอง
ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ทีมตราไก่จะต้องเผชิญกับคำกล่าวที่ว่า "การรักษาแชมป์นั้นยากกว่าการคว้าแชมป์เสมอ" ซึ่งต้องติดตามดูว่า พวกเขาจะทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพราะทัวร์นาเมนต์ใหญ่ก่อนหน้านี้อย่าง "ยูโร 2020" ฝรั่งเศสจอดป้ายเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
โดยผู้เล่นที่คาดว่าจะเป็นคีย์แมนความหวังของ “ฝรั่งเศส” ต้องยกให้สองหัวหอกต่างวัยอย่าง “คาริม เบนเซมา” ดาวยิงจอมเก๋าจากเรอัล มาดริด ซึ่งระเบิดฟอร์มร้อนแรงในวัย 34 กะรัต หลังจากกระหน่ำไป 44 ประตูจาก 46 นัดในทุกรายการของซีซั่น 2021/22 จนคว้ารางวัล "บัลลงดอร์ 2022" ไปครอง ซึ่งจะลงประสานงานกับ “คิลียัน เอ็มบัปเป” กองหน้าความเร็วสูงจาก “ปารีส แซงต์ แชร์กแมง” เจ้าของรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมจากศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย
และหากไม่มีอะไรพลิกโผจากนี้ “คู่ชิง” ฟุตบอลโลก 2022 “กองเชียร์” คงอยากเห็น “คู่ชิงในฝัน” ระหว่าง “ฝรั่งเศส”กับ “บราซิล” หากไม่มี “ลางบอกเหตุ” ให้ต้องผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม “เค้าลาง” จากอดีตอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ทุกๆ ครั้งที่การแข่งขันฟุตบอลโลกจัดขึ้นในปีที่ลงท้ายด้วยเลข 8 ทีมแชมป์จะสวมเสื้อโทนสีฟ้าหรือสีน้ำเงินเสมอ
ย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หรือในปี 1998 ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ สีเสื้อหลักของพวกเขาก็คือสีน้ำเงิน ยืนยันด้วยฉายา “เลส์ เบลอส์” ที่ติดตัวอยู่ ส่วนปี 1978 ชัยชนะเป็นของ “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา เหนือเนเธอร์แลนด์ในรอบชิงชนะเลิศ
ขณะที่ปี 1958 บราซิลเป็นฝ่ายชนะสวีเดนในรอบชิงชนะเลิศ แม้ว่าสีหลักของทีมแซมบ้าจะเป็นสีเหลือง แต่วันนั้น เนื่องจากสวีเดน เจ้าภาพจัดการแข่งขัน เลือกใส่เสื้อเหลืองอันเป็นสีหลักของตัวเองเช่นกัน บราซิลจึงต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดทีมเยือนเสื้อสีน้ำเงินแทน และถล่มเจ้าภาพไป 5-2 สำหรับปี 1938 ซึ่งเป็นบอลโลกหนที่ 3 ก็เป็นอิตาลีที่ใส่ชุดโทนน้ำเงิน เอาชนะฮังการีไปได้
เท่ากับว่า 4 ครั้งที่ผ่านมา ทิศทางสีชุดดูจะเป็นใจให้ฝรั่งเศสเหลือเกิน แต่สุดท้ายแล้วทีมไหนจะเข้าชิง ทีมไหนจะคว้าแชมป์ เราคงไปช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งเชียร์เท่านั้น