ภาพวงจรปิดที่หน้าเคาน์เตอร์จำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์ค่ายหนึ่ง จับภาพได้ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทย รายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เดินทางกลับมาจากประเทศเกาหลี แล้วนำกระเป๋าสะพายสีเทา ซึ่งภายในมีทรัพย์สินหลายรายการรวมถึงเงินสดกว่า 3 แสนบาท วางไว้บนรถเข็นก่อนจะเดินกลับไปรอรับกระเป๋าสัมภาระที่สายพานกระเป๋าภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนที่สาวเสื้อสีทองที่จอดรถเข็นอยู่ข้าง ๆ จะหยิบกระเป๋าสะพายใบดังกล่าวจากรถเข็นมาใส่รถของตัวเอง และเดินไป ผู้เสียหายรายนี้ คือนาย ทองไท จึงรีบเข้าขอความช่วยเหลือกับเจ้าหนน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ช่วยติดตามกระเป๋าดังกล่าวคืน เหตุเกิดเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565  

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า พ.ต.ท.อัครพัชร์ ทองศรีวาณิช รอง ผกก.3 บก.ทท.1 ได้สั่งการฝ่ายสืบสวนของตำรวจท่องเที่ยวประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประสานไปยัง นาย กิตติพงศ์  กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อประสานความร่วมมือตรวจสอบ โดยศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ทอท.ร่วมกับทางด้าน  ศูนย์สุวรรณภูมิ ขอดู กล้อง CCTV 

จนกระทั่งทราบว่า มีเจ้าหน้าที่พนักงานของ Thailand Elite ซึ่งทำหน้าที่ดูแลแขก VIP นักธุรกิจชาวเกาหลีใต้ ที่เดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกันมีการหยิบกระเป๋าใบดังกล่าวไปจากรถเข็นของผู้เสียหาย ฝ่ายสืบสวนตำรวจท่องเที่ยวจึงร่วมกับฝ่ายปฏิบัติการพิเศษ ได้ติดตามตัวเจ้าหน้าที่ Thailand Elite   ที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด จนพบตัวและแจ้งว่ามีการหยิบกระเป๋าผิดไป ซึ่งกระเป๋าดังกล่าวติดไปกับรถตู้ของนักธุรกิจชาวเกาหลีใต้ จึงประสานไปยังปลายทางและแจ้งเรื่องดังกล่าวจนพบกระเป๋าดังกล่าวจริง 

ล่าสุดเมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม 2565 เจ้าหน้าที่ได้ประสานผู้เสียหายและส่งมอบกระเป๋าใบดังกล่าวต่อหน้าพนักงานและผู้เกี่ยวข้อง ก่อนจะตรวจสอบภายในกระเป๋า ซึ่งไม่มีทรัพย์สินใด ๆ สูญหาย หลังจากมีการลงบันทึกส่งมอบคืนทรัพย์สินเป็นที่เรียบร้อยทางด้าน นายทองไท ผู้เสียหายได้ออกมากล่าวขอบคุณตำรวจท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ช่วยติดตามกระเป๋าใบนี้ ซึ่งภายในมีมีเงินสดสกุลไทยและเงินสกุลวอน รวมกว่า 3 แสนบาท

ด้านตัวแทนของ Thailand Elite   ออกมายกมือขอโทษในความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ ที่เข้าไปดูแลแขกแล้วเข้าใจผิด หยิบกระเป๋าใบดังกล่าวมา เนื่องจากมีการแจ้งจากแขกไว้ในลักษณะของกระเป๋าที่คล้ายคลึงกันจนเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งทางด้านพนักงานที่เกี่ยวข้อง มิได้มีเจตนาจะนำมาหรือลักทรัพย์แต่อย่างใด

หลังจากที่ทราบเรื่องจากเจ้าหน้าที่ก็รีบประสานงานไปยังคนขับและพนักงานให้ดูแลและห้ามเปิดกระเป๋าดังกล่าวจนกว่าจะมีการส่งมอบคืนให้กับผู้เสียหาย หลังจากนี้จะกำชับพนักงานให้เพิ่มความรอบคอบในการตรวจสอบสัมภาระของแขกเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดต่อไป