วันที่ 29 พ.ย.65 ศาลอาญา รัชดา นัดตรวจพยานหลักฐานใน คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 853/2565 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิรักษ์ โกฎธิ อดีตผู้บริหารแชร์ฟอเร็กซ์ 3D เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 24 คน ซึ่งมีนายกิตติเชษฐ์ หรือ สรายุทธ ไชยเดช จำเลยที่ 6 น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ จำเลยที่ 7 และนางสรินยา ไชยเดช แม่ของพิ้งกี้ เป็นจำเลยที่ 8
กรณี พวกจำเลยหลอกลวงประชาชนผู้เสียหายให้มาร่วมลงทุนเล่นแชร์ Forex-3D ทั้งที่ความจริงแล้วพวกจำเลยไม่ได้ประกอบกิจการซื้อขายหรือเทรดเงินตราต่างประเทศ (Forex) จริงตามที่กล่าวอ้าง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่เคยให้ใบอนุญาตแก่บุคคลหรือนิติบุคคลใด เพื่อให้บริการลงทุนโดยเก็งกำไรจากการซื้อขายหรือเทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) ในประเทศไทยอีกด้วย โดยพวกจำเลยอาศัยโอกาสจากความมีชื่อเสียง หรือความน่าเชื่อถือของพวกจำเลยที่เป็นดารานักแสดง นักร้อง บุคคลในวงการบันเทิง บุคคล ในวงการสังคมชั้นสูงหรือไฮโซ และรวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ และเมื่อพวกจำเลยได้รับเงินจากประชาชนผู้ร่วมลงทุนไว้แล้ว ได้นำเงินจากประชาชนรายนั้นหรือรายอื่นๆ มาจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน หมุนเวียนให้แก่ประชาชนรายอื่น โดยพวกจำเลยกับพวกมิได้นำเงินไปลงทุนหรือประกอบกิจการอย่างใดให้ได้รับผลตอบแทนคืนให้แก่ประชาชน แต่มีเจตนาหลอกลวงประชาชนที่หวังจะได้รับเงินตอบแทนในอัตราสูง ให้นำเงินมาลงทุน จนมีประชาชนผู้เสียหายหลงเชื่อถูกหลอกลวงจำนวนมาก อันเป็นการกระทำความผิดฐานโดยทุจริต หรืออันเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน รวม 9,824 กรรม มูลค่าความเสียหาย 2,489,820,321.52 บาท
โดยคดีนี้ ศาลสั่งรวมสำนวน สำนวนดังกล่าวเป็นมูลกรณีเดียวกัน พยานหลักฐานชุดเดียวกัน ถ้ารวมการพิจารณาคดีทั้ง 3 สำนวนเข้าด้วยกัน จะเป็นการสะดวกและรวดเร็ว
เมื่อถึงเวลา ศาลเริ่มกระบวนพิจารณา โดยศาลระบุว่า อัยการได้แบ่งบัญชีรายชื่อเพื่อนัดสืบพยานออกเป็น 6กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มผู้กล่าวหา/พยานผู้ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับบริษัท/กลุ่มผู้เสียหายพยานที่รับจ้างเปิดบัญชี และพยานในกลุ่มเจ้าหน้าที่ จำนวน 122 ปาก แบ่งเป็น ใช้เวลาในการสืบพยานรวม 30 นัด
จากนั้น ทนายความ ของจำเลยแต่ละคนแถลงแนวทางต่อสู้คดี โดยเริ่มจาก ทนายความของจำเลยที่ 1 และ 2 แถลงว่า บริษัทของจำเลยที่ 2 ได้ติดต่อโบรกเกอร์นักลงทุนต่างประเทศเพื่อให้เข้ามาฟื้นฟูของบริษัทจำเลยที่ 2 เมื่อประสบผลสำเร็จในการประกอบธุรกรรมโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ดำเนินการมาก่อน ถ้ามีผลประกอบการดีก็จะนำรายได้เป็นค่าตอบแทนให้กับจำเลยที่ 1 และ 2 นำไปคืนให้กับผู้เสียหายแต่ละคนในคดีนี้ ซึ่งผู้เสียหายจะได้รับเงินคืนที่เท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับจำนวนที่ได้รับความเสียหาย
ขณะที่ ทนายความของจำเลยที่ 6 แถลงว่า มีรายชื่อเป็นกรรมการในบริษัทของจำเลยที่ 2 จริง แต่ไม่ได้มีการร่วมบริหาร
ด้าน ทนายความของจำเลยที่ 7 และ 8 คือ พิ้งกี้ และ แม่ ได้แถลงว่า จำเลยที่ 7 และ 8 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการของจำเลยที่ 2 และ 3 ไม่เคยมีการชักชวนหรือแนะนำใครมาร่วมลงทุนดังกล่าว จำเลยที่ 7 และ 8 ยืนยันว่า เป็นเพียงนักลงทุนที่ได้รับเงินจากจำเลยที่ 2 และ 3 เป็นผลตอบแทนจากการลงทุนเท่านั้น ไม่เคยได้รับประโยชน์ผิดแปลกแตกต่างจากปกติหรือได้รับผลตอบแทนจากคำแนะนำในการเชิญชวนผู้อื่น
ส่วนทนายจำเลยที่ 9 แถลงแนวทางต่อสู้คดีโดยระบุว่าจำเลยที่ 9 เป็นเพียงพนักงานบริษัทของจำเลยที่ 2 ได้กระทำตามหน้าที่และทำตามคำสั่งของผู้บริหารและกรรมการบริษัทไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดตามฟ้องส่วนเงินที่ผ่านบัญชีของจำเลยที่ 9 เป็นเพียงเงินที่ได้นำไปใช้ในการบริหารงานของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยไม่ได้รับผลประโยชน์อื่นใดนอกจากเงินเดือน
ทนายจำเลยที่ 10-15 แถลงแนวทางต่อสู้คดีโดยระบุว่าเป็น จำเลยเป็นลูกจ้างและพนักงานบริษัททำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ทนายจำเลยที่ 16 ,18 ,19 และ 24 แถลงว่า จำเลยที่ 16 เป็นผู้รับจ้างออกแบบเว็บไซต์ให้จำเลยที่ 2 และเป็นนักลงทุนคนหนึ่งไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 18 19 และ 24 แถลงว่าเป็นบุคคลในครอบครัวของจำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการของจำเลยที่ 2 และไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ทนายจำเลยที่ 17 แถลงว่า จำเลยที่ 17เป็นตัวแทนขายอาหารเสริมให้กับจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ลงทุนกับบริษัทของจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วน เกี่ยวข้องในการชักชวนผู้เสียหายให้มาลงทุน ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ทนายจำเลยที่ 20 แถลงว่าจำเลยที่ 20 ไม่ได้ทำงานในบริษัทของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 เป็นประธานมูลนิธิโดยจำเลยที่ 20 ทำงานอยู่ในมูลนิธิและได้รับคำสั่งโดยตรงจากผอมูลนิธิซึ่งก่อนหน้านี้ DSI ได้สอบปากคำพนักงานในมูลนิธิทุกคนแล้วพนักงานทุกคนไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เพลงแต่จำเลยที่ 20 ได้รับการโอนเงินโดยตรงจากบริษัทของจำเลยที่ 2 เพียงแค่ 3-4 ครั้งเพื่อนำมาจ่ายเงินให้กับพนักงานของมูลนิธิโดยไม่มีส่วนรู้เห็นในการชักชวนให้มาลงทุนไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ทนายความจำเลยที่ 21 แถลงว่าจำเลยที่ 21 ไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำผิดโดยเงินที่ได้มานั้นไม่ทราบว่าได้มาจากการกระทำความผิดโดย จำเลยที่ 21 อ้างบัญชีพยาน เป็น นายปราปต์ปฎล มาเป็นพยานด้วย
ทนายความจำเลยที่ 22 แถลงว่าจำเลยที่ 22 เป็นเพียงผู้ลงทุนไม่เคยชักชวนหรือโฆษณาให้ใครมาลงทุนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทจำเลยที่ 2 พร้อมระบุว่าจำเลยที่ 22 เป็นผู้เสียหายคนหนึ่งไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ทนายความจำเลยที่ 23 แถลงว่าจำเลยที่ 23 เป็นเพียงนักลงทุนไม่เคยชักชวนใครมาลงทุนไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดไม่ได้ทำผิดตามฟ้อง โดยจำเลยที่ 23 ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับศัลยกรรมที่เกาหลีเงินที่ได้จากจำเลยที่ 1 เป็นเพียงเงินค่าศัลยกรรมและเงินตอบแทนจากการลงทุนยืนยันไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ทั้งนี้ ภายหลังศาลตรวจพยานหลักฐาน ร่วมกับ โจทก์ จำเลย แล้วเสร็จ ได้นัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 10 ส.ค.2566