วันที่ 28 พ.ย.65 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า...

การอุบัติขึ้นของโอมิครอนรุ่นที่ 1, 2, 3, สายพันธุ์ลูกผสม และ “พาย/Pi”

ไวรัสโคโรนา 2019 มูฟออนไปกับเรา

ย้อนหลังไป 1 ปีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศแจ้งชื่อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ใหม่ “B.1.1.529” ตามอักษรกรีกว่า “โอมิครอน” ตามคำแนะนำของกลุ่มที่ปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับวิวัฒนาการของไวรัส (TAG-VE) ขององค์การอนามัยโลก จากหลักฐานที่ว่า “โอมิครอน” มีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งโดยเฉพาะส่วนโปรตีนหนามที่อาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว (กว่าสายพันธุ์เดลตา) อาจมีผู้ติดเชื้อเจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

จากนั้นเพียง 4 สัปดาห์ นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศก็ได้พบ “โอมิครอน” ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยเข้ามาแทนที่สายพันธุ์ “เดลตา” แต่โชคดีที่โรคโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอนมีอาการความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าสายพันธุ์เดลตามาก

ต้นปี 2565 โอมิครอน (B.1.1.529) เริ่มมีการกลายพันธุ์เกิดเป็นโอมิครอนรุ่นแรก (first generation omicron variants) ทยอยระบาดแทนที่กันมาเป็นลำดับตั้งแต่ BA.1, BA.2, BA.4, และ BA.5 ที่ระบาดอยู่ขณะนี้ (ปลายปี 2565)

ตั้งแต่ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาโอมิครอน BA.5 เริ่มอ่อนกำลังการระบาดและลดจำนวนลง โลกก็ได้พบกับโอมิครอนรุ่นสอง (second generation omicron variants) เป็นกลุ่มโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย (A soup of omicron subvariants) ซึ่งเป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลนของ “BA.2” เช่น BA.2.75, BN.1, CH.1.1, BQ,1, BQ.1.1, BF.7 อุบัติขึ้นมา

ในเวลาไล่เลี่ยกันหลายประเทศได้พบกับไวรัสลูกผสม (recombinant variant) ในสองลักษณะ

1. ระหว่างโอมิครอนต่างสายพันธุ์ ที่สามารถเพิ่มตำแหน่งการกลายพันธุ์ได้รวดเร็วกว่าการกลายพันธุ์ด้วยตนเองของแต่ละสายพันธุ์ โดยเฉพาะบริเวณส่วนโปรตีนหนามเพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและการติดเชื้อจากธรรมชาติได้เหนือกว่าบรรดาโอมิครอนรุ่นสอง

I. โอมิครอนลูกผสมสองสายพันธุ์ “XBB” เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอน BJ.1 และ BA.2.75*

II. โอมิครอนลูกผสมสองสายพันธุ์ “XBD” เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอน BA.2.75 และ BA.5.2.1 และ

III. โอมิครอนลูกผสมสองสายพันธุ์ “XBF” เป็นลูกผสมระหว่างโอมิครอน BA.5.2.3 และ BA.5.2.1

2. ระหว่างสองสายตระกูล “เดลตา” และ “โอมิครอน BA.2” ที่เรียกขานกันว่า “เดลตาครอน” พบไม่มากในประเทศฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, เกาหลีใต้, ออสเตรีย ฯลฯ กล่าวคือ XAY,XBA,XBC, และ XAW

ผู้เชี่ยวชาญตั้งสมมติฐานว่าลูกผสมจากสองสายตระกูลเหล่านี้เกิดจากผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเดลตาเรื้อรังแล้วมาติดเชื้อซ้ำด้วยสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 เกิดการแลกเปลี่ยนส่วนของจีโนมในร่างกายของผู้ติดเชื้อรายเดียวกันเกิดเป็นลูกผสมระหว่าง เดลตา และโอมิครอน

XAY และ XBC ยังคงหมุนเวียนอยู่ในหลายประเทศ แต่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ สายพันธุ์ลูกผสมระหว่างสองตระกูลเหล่านี้แพร่ระบาดได้ไม่ดีนัก อันอาจเนื่องมาจากยีนสร้างโปรตีนหนามได้มาจากโอมิครอน BA.2 เกือบ 100% ต่างจากโอมิครอนต่างสายพันธุ์ เช่น“XBB” ที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากส่วนหนามมาจากโอมิครอนลูกผสมสองสายพันธุ์ คือ BJ.1 และ BA.2.75* ที่เสริมประสิทธิภาพการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนและจากการติดเชื้อตามธรรมชาติได้ดีกว่าเดลตาครอน แต่ก็ยังมีข้อที่น่ากังวลใจที่เดลตาครอนเป็นสายพันธุ์มียีนก่อโรครุนแรงของสายพันธุ์เดลต้าอยู่ด้วย

โอมิครอนลูกผสม XBB และ XBB.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่าโอมิครอนรุ่นที่สองทุกสายพันธุ์ในปัจจุบัน(BA.2.75, BN.1, BQ,1, BQ.1.1, BF.7) ยกเว้นเพียงสายพันธุ์เดียวคือ CH.1.1 ซึ่งมีต้นตระกูลมาจาก BA.2 พบในประเทศออสเตรีย, ออสเตรเลีย, อังกฤษ ฯลฯ

ปีหน้า 2566 คาดว่าทั่วโลกอาจมีโอกาสได้เห็นโอมิครอนรุ่นสาม (third generation omicron variants) เป็นโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยซึ่งเป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลนของ “BA.5” ซึ่งยังไม่อาจคาดคะเนได้ว่าจะมีอาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัดหรือก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง (severe) จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเหมือนในช่วงที่เดลตาระบาดจนองค์การอนามัยโลกต้องให้อักษรกรีกที่จะใช้กับไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์ก่อโรครุนแรงตัวถัดจากโอมิครอนคือ π (พาย/Pi) หรือไม่

อนึ่งการที่มีโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยซึ่งเป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลนของ “BA.2” ระบาดขึ้นมาก่อนเพราะ BA.2 มีการระบาดกลายพันธุ์มาก่อน BA.5 ตั้งแต่ต้นปี 2565