คอลัมน์ เรื่องจากปก เ หมาลำ-เหมารวม? นาทีนี้ปฏิบัติการข่าวสารในศึกรุมกินโต๊ะคสช. เต็มไปด้วยความคึกคักและเข้มข้นขึ้น เพราะล็อก “เป้าใหญ่” คนรอบกาย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อย่างจัง ทั้งน้องชายสุดที่รัก มาถึงพี่ใหญ่ที่เคารพ สองช็อตต่อเนื่องที่ทำให้ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยข้อมูลที่เผยแพร่ในโลกโซเชียลทั้งเรื่องสร้างฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา และประมูลงาน กองทัพภาคที่ 3 ของ ลูกชาย “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ยังเคลียร์ไม่จบ ก็มีเรื่องเครื่องบินเช่าเหมาลำคณะของ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหม ที่เกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกา โผล่ขึ้นมาอีก เข้าตำรา “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” ทอล์กออฟเดอะทาวน์ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางคณะของรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงที่ค่อนข้างสูง โดยมองว่าเป็นการผลาญงบประมาณ ที่ใช้วงเงินถึง 20.9 ล้านบาท โดยมีคณะร่วมเดินทางไปเพียง 38 คน พร้อมเมนูอาหารที่เลิศหรู โดยยกเอาไปเปรียบเทียบกับในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่เดินทางพร้อมคณะ 81 คน ไปเยือน 3 ประเทศ ประกอบด้วย การเยือนสมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐอิตาลี และมอนเตเนโกร โดยวิธีเช่าเหมาลำ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 21 ล้านบาท กระทั่งนำไปสู่การเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อของผู้ร่วมคณะ ทั้ง 38 คนออกมา หวังกระทบชิ่งไปถึง “คนใกล้ชิด” ของ “บิ๊กป้อม” โดยเฉพาะเพจดัง ของฝ่ายตรงข้ามที่นำรายชื่อทั้ง 38 คน ออกมาเปิดเผยว่อนโลกโซเชียล!! จนผู้ประกาศข่าวสาวช่อง 5 พ.ต.หญิงชลรัศมี งาทวีสุข ต้องออกมาขอความเป็นธรรมกับสื่อ ว่าเธอไม่ได้ร่วมทริปเป็นหนึ่งใน 38 คนแต่อย่างใด โดยชี้แจงผ่านรายการ เช้านี้ประเทศไทย ทางททบ.5ว่าวันศุกร์จัดรายการสดอยู่กรุงเทพฯ อยู่หน้าจอช่อง 5 ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ไปต่างประเทศ และวันเสาร์ก็อยู่ที่ท้องนา ที่จ.นครนายก ซึ่งเป็นบ้านสวนของเธอเอง ขณะที่มีรายงานข่าวว่า ทีมข่าวของ ททบ.5 ที่ไปทำข่าวภารกิจของรองนายกฯ มีเพียง เหมือนฝัน คงศรี บรรณาธิการข่าวทหาร และ จักรพงษ์ แพงคำแสง ช่างภาพ เท่านั้น สำทับด้วย พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ยืนยันอีกชั้นหนึ่ง ว่าไม่พบรายชื่อของ “ชลรัศมี” ในรายชื่อ 38 คน อย่างไรก็ดี ปมเหตุสืบเนื่องมาจากประกาศของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์เพื่อความโปร่งตามนโยบายรัฐบาลของคสช. โดยมีการชี้แจงรายละเอียดในภารกิจของ “บิ๊กป้อม” อย่างละเอียด แยกเป็น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบิน เป็นเงิน 3 .8 ล้านบาท ค่าเชื้อเพลิงอากาศยาน เป็นเงิน 10.7ล้านบาท ค่าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน เป็นเงิน 6 แสนบาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปฏิบัติการภาคพื้น เป็นเงิน 2,6 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เป็นเงิน 3.1ล้านบาท จึงไม่แปลกที่จะถูกตรวจสอบจากสังคม แต่ขณะเดียวกัน ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามจับมาเป็นประเด็น “ดิสเครดิต” ผู้มากบารมีอย่าง “บิ๊กป้อม” ทั้งที่ค่าใช้จ่ายที่แจงละเอียดยิบนั้นเป็นเพียงราคาประเมิน ไม่ใช่ราคาจริง ซึ่งดีดีการบินไทย จรัมพร โชติกเสถียร ก็ได้ออกมาแถลงยืนยันแล้วว่า เรื่องค่าใช้จ่าย เป็นราคาประมาณการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร้องขอ และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเที่ยวบินเช่าเหมาลำแล้ว การบินไทยจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง “การเดินทางสู่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เป็นการเดินทางที่ไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ และต้องต่อเที่ยวบินหลายครั้ง รวมทั้งเวลาในการต่อเที่ยวบินไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติภารกิจ จึงทำให้ผู้โดยสารมีทางเลือกน้อย อีกทั้งเป็นการเดินทางไปราชการเป็นหมู่คณะในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยและมีกำหนดการแน่นอนไปยังจุดหมายที่ไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ การเดินทางด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำจึงมีความเหมาะสมกว่าเที่ยวบินพาณิชย์ ดังนั้นค่าโดยสารเฉลี่ยต่อผู้โดยสารสำหรับเที่ยวบินเช่าเหมาลำ อาจจะสูงกว่าค่าโดยสารที่เดินทางด้วยเที่ยวบินพาณิชย์ซึ่งเป็นเรื่องปกติ” ถ้อยแถลงของดีดีการบินไทย สอดคล้องกับที่โฆษกกระทรวงกลาโหม อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ ที่อ้างว่าไม่ต้องการไปต่อเครื่องบิน และไม่มีเที่ยวบินทุกวัน แต่ในทางการเมืองอาจไม่มีน้ำหนักมากนัก ทั้งที่จริงแล้วสามารถชี้แจงได้ว่า รองนายกฯมีภารกิจมาก ทำให้ไม่สามารถเดินทางล่วงหน้า เผื่อเวลาได้ โดยออกเดินทางไปในบ่ายวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย ไปถึงเช้าวันพฤหัสบดีเวลาฮาวาย พอไปถึงก็ต้องเตรียมประชุมในทันที และประชุมต่ออีกในวันศุกร์ ก่อนจะรีบบินกลับในวันเสาร์ กระนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ต้องเข้าใจก่อนว่า ทำไมจึงต้องเช่าเหมาลำ ทำไมไม่โดยสารเครื่องบินในไฟลท์ปกติ เพราะไม่ว่าในรัฐบาลยุคไหน ที่จำเป็นต้องเช่าเหมาลำก็มาจากกรณีที่มีการพาบุคคลที่ “ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง” ร่วมคณะติดตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวที่ติดตามไปรายงานข่าว หรือคนใกล้ชิด ซึ่งกรมบัญชีกลางไม่สามารถสั่งจ่ายงบประมาณให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้นจึงต้องเลี่ยงด้วยวิธีการเช่าเหมาลำ เหมารวมกันไป แม้แต่ “ยิ่งลักษณ์” เอง ที่ถูกโจมตีอย่างหนัก ก็เป็นเพราะมีการแวะไปมอนเตเนโกร ที่ไม่ได้อยู่ในกำหนดการ โดยเป็นห้วงเวลาที่ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในประเทศดังกล่าว ทำให้เกิดข้อครหาใช้งบประมาณของรัฐอำนวยความสะดวกให้กับพี่ชาย ในแง่ของการตรวจสอบ ท่าทีของ “บิ๊กตู่”ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลนั้น ปฏิเสธชัดเจนว่าจะไม่เข้าไปตรวจสอบในเรื่องนี้ “จะไปตั้งด้วยอะไร ทำไมถึงต้องตั้ง เรื่องนี้ก็เป็นการทำงานของระบบอยู่แล้ว ถามว่าไปประชุมเครื่องบินมีบินตรงหรือไม่ ไม่มีใช่ไหม เขาไปทำประโยชน์หรือเขาไปเที่ยว อย่ามาจับผิดจับถูกในเรื่องเหล่านี้ ใครอยากฟ้องร้องก็ไปฟ้องร้องเอา มันมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่อยู่แล้ว” มีเพียงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือสตง.ที่ขึงขังเข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้ โดยที่ยังไม่มีการยื่นคำร้องให้ตรวจสอบ แต่ฟังจากน้ำเสียงของ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าฯสตง.ที่ออกมา ก็ไม่น่าจะไม่อะไรที่ทำให้คสช.ต้องกังวล เพราะก็คงออกมาว่า “ไม่ผิด” ด้วย “พิศิษฐ์” ให้ความเห็นส่วนตัวเอาไว้ว่า วัตถุประสงค์และจำนวนคนที่ไปมีความเหมาะสม มีนายทหารที่มีตำแหน่ง และใกล้ชิดรองนายกฯ ในขณะที่การบินไทยต้องมาวางบิลเก็บเงิน ยังไม่มีตัวเลขออกมา มีแต่ประมาณการเบื้องต้น และกรณีนี้เปรียบเหมือน “กระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวา”คงไม่มีใครได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ดูแล้วแม้จะมีผลการตรวจสอบของสตง.ออกมาว่า โปร่งใส เหมาะสม หรือตัวเลขราคาที่การบินไทยคำนวณออกมาวางบิลเก็บเงินแล้ว ไม่สูงอย่างที่ประมาณกาลในเบื้องต้น เรื่องนี้ก็คงจะไม่จบง่ายๆ เช่นเดียวกับปมของ “บิ๊กติ๊ก” ที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองคงไม่ปล่อยผ่าน ปฏิบัติการขุดคุ้ย เปิดแผลยังดำเนินต่อไป โดยล่าสุด วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ได้ไปยื่นร้องเรียนต่อป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ “บิ๊กติ๊”กรณีบรรจุ ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชายเป็นนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 โดยมิชอบ แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช.ไม่ได้รับเอาไว้พิจารณา นั่นสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการ “เอาคืน” ของฝ่ายต่างๆที่ไม่ยอมให้จบง่ายๆ ไม่นับสัญญาณลบภายในกองทัพ ที่สะท้อนจากเอกสารต่างๆ ที่หลุดออกมาล้วนมาจากวงใน แม้จะใช้กระบวนท่า “นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว” ก็ไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์ลงได้ เพราะนานๆทีจะมี “ลูกมาเข้าเท้า” แต่ทั้งในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับ “บิ๊กติ๊ก” และ “บิ๊กป้อม” จะเปรียบไปก็เหมือนเพียง “ก้อนกรวดในรองเท้า” ที่ไม่สามารถทำให้ระคายรัฐบาลคสช. แต่ก็ทำให้รำคาญ จึงต้องกำจัด รีบจบให้สวย และเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีโอกาสเหมารวมเอาปมของคนรอบกายมาฉุดเครดิต “บิ๊กตู่” ที่ถือเป็นจุดแข็งของรัฐบาลคสช. ณ ตอนนี้