บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น)

ทุนจีนมีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจไทยหรือไม่ ในแวดวงการลงทุนค้าขายไม่เป็นที่น่าวิตกแต่อย่างใด เพราะเป็นการส่งเสริมการลงทุน แต่ทุนจีนสีเทาน่าวิตกมากกว่า จะเป็นเรื่องไกลตัวไปหรือไม่ว่า “ธุรกิจสีเทาคือวาระแห่งชาติ” ที่รัฐต้องแก้ไขและปราบปราม หากตั้งประเด็นไว้เช่นนี้ แน่นอนว่าธุรกิจสีเทา แม้จะเป็นเรื่องภาพรวมของประเทศย่อมต้องไปถึงท้องถิ่นแน่นอน เพราะว่าท้องถิ่นหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) คือพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มทุนธุรกิจสีเทา ไม่ว่าจะเป็นในเขตพื้นที่ กทม. ชานเมือง เมืองใหญ่ หรือ ต่างจังหวัดบ้านนอก เขตชนบททั้งหมด เช่น การเข้าไปประกอบธุรกิจการค้าบริการต่างๆ ในพื้นที่ ที่ต้องมีเรื่องการทุจริตเงินใต้โต๊ะ อิทธิพลต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง 

อปท.เป็นแหล่งพื้นที่ฟอกเงินธุรกิจจีนสีเทาในหลายรูปแบบ หลักๆ คือสถานบริการ ร้านเหล้า ผับ โรงแรม รีสอร์ต ธุรกิจร้านค้าการบริการต่างๆ โรงงาน รวมแหล่งอบายมุข จำแนกกลุ่มธุรกิจสีเทาได้ 3 กลุ่ม คือ (1) การเปิดผับ บาร์ ร้านอาหาร สถานบริการ รวมถึง การพนัน  (2) แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง และ(3) เรื่องยาเสพติด ข่าวล่าสุด ล่าสุดเมื่อการระดมกวาดล้างนักธุรกิจนายทุนชาวจีนในเป้าหมายได้ไหวตัวหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว 100 กว่าราย เพราะส่วนใหญ่ถือสองสัญชาติ ไทย-จีน เมื่อทำผิดก็หอบเงินหนีกลับจีน

ธุรกิจสีเทา คืออะไร

กระแสดังเหมือนจุดพลุแตกจากการแฉข่าวของอดีตนักการเมืองเปิดเผยและโจมตี “กลุ่มทุนจีนสีเทา” เรียก “ธุรกิจสีเทา-ศูนย์เหรียญ” (Zero-Dollar Tour) เริ่มจากผับแฝงยานนาวา ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรมานาน มีแผ่ขยายสาขาไปทั้งกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต ตำรวจไทยได้เปิดยุทธการ “ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน” ทลายผับและแหล่งการพนันที่เชื่อว่ามี "มาเฟียจีน" อยู่เบื้องหลัง เริ่มจากพัทยา แต่น่าสงสัยว่าคดีทัวร์ศูนย์เหรียญฟอกเงินที่จับกุมเมื่อราว 5-6 ปีก่อน ไม่สามารถเอาผิดธุรกิจสีเทาได้ ตอนนี้กลุ่มนายทุนจีนสีเทาที่อยู่ในเป้าหมายการจับกุมก็คือกลุ่มเดียวกับทัวร์ศูนย์เหรียญ มันหมายความว่าอย่างไร เอาผิดทุนจีนสีเทาไม่ได้ใช่ไหม หรือว่ามีเส้นใหญ่ อิทธิพล ใช้เงินใต้โต๊ะเคลียร์หมด ซึ่งการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญเมื่อ 5 ปีก่อนดึงยอดนักท่องเที่ยวจีนลดลง จนกระทั่งช่วงโควิด จีนปิดประเทศนักท่องเที่ยวชาวจีนเที่ยวไทยจำนวนกว่า 11 ล้านคนจึงหายไป 

"ธุรกิจสีเทา" ที่แปลงมาจากตลาดสีเทา (Gray/Grey Market or Dark Market) ที่เน้นเรื่องจากเสียภาษีการหลีกเลี่ยงภาษี แม้ความหมายจะไม่ตรงกันทีเดียว แต่ในความหมายของธุรกิจสีเทาหลายคนจะเข้าใจ ในประเทศไทยในระยะ 10-20 ปีผ่านมามีมากขึ้น กำลังจะกล่าวถึง “กลุ่มธุรกิจคนจีนสีเทา” ที่สามารถย้อนอดีตไปถึงคนจีนโพ้นทะเลเสื่อผืนหมอนใบอพยพเข้ามาหากินตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ในความหมายมีหลายมิติ แต่รวมๆ คือเป็นธุรกิจที่ภาพรวม เป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ในรูปแบบว่าทำถูกกฎหมาย หรือ เป็นธุรกิจถูกกฎหมายแต่ผิดจริยธรรม เป็นธุรกิจสีเทา หรือสีดำ(ธุรกิจมืด) ที่ตรงข้ามกับ "ธุรกิจสีขาว"

ธุรกิจสีเทา จะหมายถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับราหูเป็นหลัก ราหูเป็นดาวที่ก่อให้เกิดความลุ่มหลง ส่วนใหญ่ในสมัยโบราณก็จะเกี่ยวกับ สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ยุคสมัยใหม่ก็หมายถึงธุรกิจการบันเทิงทุกชนิดเช่น

ภาพยนตร์ ละคร คอนเสิร์ต เพลง ฯลฯ ปัจจุบันธุรกิจออนไลน์โลกโซเชียลก็ต้องจัดว่าเป็นงานหรือธุรกิจการบันเทิงเช่นกัน ธุรกิจส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่เป็นแหล่งเอนเตอร์เทนเมนท์ แหล่งค้าประเวณี เปิดเล่นการพนัน เกี่ยวกับเงินกู้ หรือทำอะไรที่ผิดกฎหมายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ขาย/รับแทงหวยเถื่อนหวยใต้ดิน รับพนันแทงบอล มวย เงินกู้นอกระบบ การฟอกเงิน อาบอบนวด การพนัน รวมเว็บพนันออนไลน์ (มีบัญชีม้า รับจ้างเปิดบัญชี) การค้าประเวณี (ค้ามนุษย์) มาเฟีย ฯลฯ เป็นต้น หากมีอัตราโทษเบา แค่ปรับ หรือจับไม่ได้ เพราะฉากหน้าว่าธุรกิจทำถูกกฎหมายแล้ว เรียก "ธุรกิจสีเทา" แต่หากเป็น "ธุรกิจสีดำ" ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ จะมีอัตราโทษหนัก ติดคุกนาน หรือประหารชีวิต อาทิ ยาเสพติด “ก๊วนการเมือง” มาเฟีย(อั้งยี่) นักเลง อุ้มทวงหนี้ มือปืนรับจ้าง ผลิต/ขายเหล้าบุหรี่เถื่อน หรือสินค้าเถื่อนหนีภาษี การรับจ้างทวงหนี้(อุ้ม, ทำร้าย, ข่มขู่ฯ) รวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีพฤติกรรมหลอกลวง เป็นธุรกิจผิด/นอกกฎหมายที่รับใบอนุญาตไม่ได้ เป็นต้น

ย้อนหลังความเป็นมา

ธุรกิจจีนอิทธิพลจีนแผ่มาประเทศไทยนานแล้ว ย้อนได้ราว 20 ปีก่อน เด่นชัดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน (ราวปี 2550) แฝงมาหลายรูปแบบ เพราะการขยายแหล่งการพนันมาเก๊า การต้องการทรัพยากรหล่อเลี้ยงคนจีน การระบายสินค้าจีน ส่งนักศึกษาจีนมาเรียน ทำธุรกิจโรงแรม ค้าขายต่างๆ การลงทุนเกษตรกล้วยหอม ล้งผลไม้ เงาะ ทุเรียน ลำไย มะม่วง การทุ่มตลาดสินค้าจีนราคาถูก การลงทุนรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น

ทุนจีนมาสร้างเมืองใหม่ที่เมียวดี ฝั่งอำเภอแม่สอด จ.ตาก ราวปี 2550 คนจีนมาทำงานเมืองเมียวดี เป็นจำนวนมากเป็นหลักพันหลักหมื่นคน เป็นเมืองชุมชนของคนจีน เป็น New China Town เหมือนฝั่งลาว กาสิโนคิงส์โรมัน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้ามฝั่ง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย รวมไปถึง ปอยเปต สีหนุวิลล์ ที่กลุ่มนายทุนจีนเข้ายึด แถมตั้งเป็นศูนย์ตบตาหลอกลวงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงคนไทยทางการเงิน มันเป็นเครือข่ายที่ใหญ่มาก รัฐบาลจีนส่งตำรวจจีนมาทลาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์จับผู้ต้องหาชาวจีน 200 กว่าคน ไปลงโทษ แต่ปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ก็ยังอยู่ไม่หมด ลักษณะแบบนี้ยังมีในอีกหลายประเทศในอาเซียน แบบเดียวกัน คือการโทรศัพท์หลอกลวงให้โอนเงิน เช่น ที่ฟิลิปปินส์ก็มี ธุรกิจสีเทาไม่ได้ส่งเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ มีแต่กินกับนอน หรูหราฟุ่มเฟือย อบายมุข ทำงานหลอกลวง ทำธุรกิจบังหน้า นอมินี ฟอกเงิน ช่วงปิดด่าน ช่วงโควิด ปี 2563-2564 คนจีนหนุ่มสาวตกงานกันเยอะ ไม่มีงานทำ เพราะ ชายแดนปิด แหล่งการพนันปิด พวกนี้ก็หันลักลอบเข้ามาไทย ช่วงโควิดระบาดสายพันธุ์แรงๆ จะมาจากคนจีนกลุ่มนี้ แรงงานพวกจีนเทา เป็นแรงงานอบายมุข

เมื่อราว 5-6 ปีก่อน ชาวจีนเริ่มแห่เข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ส่วนใหญ่มาทำธุรกิจสีเทา ในขณะเดียวกัน ไทยเป็นแดนสวรรค์ของคนจีน เพราะสมัยก่อนค่าครองชีพถูก ต้นทุนเรียนไทยถูกกว่า วัยรุ่นจีนถูกส่งมาเรียนปริญญาที่มหาวิทยาลัยเอกชนไทยเป็นจำนวนมาก จนมีนายทุนจีนมาเซ้งมหาวิทยาลัยไทยแถววิภาวดีไว้ได้หลายแห่ง นักศึกษาจีนมีมากขึ้นๆ เป็นช่องทางเกิด “ธุรกิจสีเทาในแวดวงอุดมศึกษา” ในกลุ่มคนจีนมากขึ้น คนจีนรู้ระบบช่องทางหากินในไทย ชุมชนจีนเกิดขึ้นหลายแห่งใน กทม. เช่น ย่านรัชดา ห้วยขวาง ยานนาวา เอกมัย ลาดพร้าว นอกจากนี้ธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญของชาวจีนก็เฟื่องฟู เป็นธุรกิจสีเทา ฟอกเงิน ของคนจีนที่เริ่มมาจากชายแดน ล้วนเป็นคนวัยรุ่นคนหนุ่มสาวชาวจีนทั้งนั้น ที่มาหมกมุ่นในธุรกิจสีเทาๆ

การลงทุนอื่นเช่น การปลูกกล้วยหอมส่งจีน ล้งผลไม้ส่งจีน และสร้างรถไฟความเร็วสูงให้ สปป.ลาว ในพม่า จีนทำที่สามเหลี่ยมทองคำ ท่าขี้เหล็ก ฝั่งแม่สาย สินค้าก็อปปี้ เลียนแบบ สินค้าหนีภาษี สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ สินค้าจีนทั้งหมดที่ส่งมาระบายตลาด ไม่มีภาษี เป็นธุรกิจสีเทาๆ จีนทำทั้งหมด ยาเสพติดด้วยทั้ง กัญชา ยาไอซ์ แฮปปี้วอเตอร์

ทุนสีเทาจีนอาละวาดหนักย่านอาเซียน ซึ่งหลวงวิจิตรวาทการเคยเรียกตามฝรั่งว่า "ภัยเหลือง" (Yellow Peril) มีทั้งการพนัน ทั้งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา จนล่าสุด(ตุลาคม 2565) ฟิลิปปินส์ปิดแหล่งการพนันออนไลน์ (POGO) 175 แห่ง (มีกาสิโนด้วย) ส่งกลับชาวจีนถึงกว่าสี่หมื่นคน มีคนตกงานกว่า 3 แสน (คนจีน 2 แสน คนฟิลิปปินส์ 1 แสน) ด้วยสาเหตุว่าแหล่งการพนันจีนเหล่านั้น แม้จะมีใบอนุญาตแต่ก็ทำผิดกฎหมายทั้งก่ออาชญากรรมด้วย แม้จะทำให้ชาวฟิลิปปินส์ ตกงาน 111,000 คน รัฐและเอกชนเกี่ยวข้องสูญเสียรายได้คำนวณจากปีที่แล้วถึงกว่า 190 พันล้านเปโซ (120.75 พันล้านบาท) ก็ต้องยอม

เงินใต้โต๊ะแหล่งซื้อขายตำแหน่งลามมาท้องถิ่น

นักวิชาการเชื่อว่า ฐานคติของความเป็นไทย “แบบอำนาจนิยมอุปถัมภ์ คนไทยไม่ควรมีอำนาจเท่ากัน คนไทยบางคนควรมีอำนาจมากกว่าคนไทยคนอื่น เพราะพวกเขามีความเป็นไทยมากกว่าและเป็นคนดีมีศีลธรรมยิ่งกว่าคนไทยคนอื่นและเมืองไทยนี้ดีแล้วที่เป็นเช่นนี้" นี่เป็นลักษณะของอำนาจนิยมที่ฝังรากลึกในสังคมไทยเริ่มแต่สมัยยุคล่าอาณานิคมของตะวันตกช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลองมาดูผลพวงที่เกิดจากธุรกิจสีเทา ไม่ว่าทางตรงหรือแอบแฝงในมุมมองที่จะส่งผลต่อท้องถิ่นได้ อันเป็นบ่อเกิดของการทุจริตคอรัปชันตัวปัญหาของประเทศไทย เช่นเงินสินบนส่วยใต้โต๊ะ ทำให้เกิดระบบตั๋วช้าง ซื้อขายตำแหน่งราชการได้ เพราะการติดสินบนต่างๆ แก่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ได้แก่ ข้าราชการ และรวมถึงผู้มีอิทธิพล

ว่ากันว่า ธุรกิจสีเทาต่างๆ เป็นบ่อเกิดของ "เงินนอกระบบ" เป็นเงินสกปรก (Dirty Money) จำนวนมากที่บรรดาข้าราชการเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้วิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่ง ธุรกิจสีเทาก่อให้เกิดเงินใต้โต๊ะ ส่วย สินบน (bribe) รีดไถ เงินตามน้ำนอกระบบ ปล่อยเงินกู้นอกระบบ ฯลฯ เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีเงินภาษีเข้ารัฐ (underground money, no tax money) และมี “การฟอกเงิน” (Money Laundering) สีเทา (รวมสีดำ) เหล่านี้ให้เป็นเงินถูกกฎหมายในหลายๆ รูปแบบ เช่น การเปิดร้านอาหาร ค้าขายบังหน้า หรือใช้นอมินี โดยมีผู้มีอำนาจ อิทธิพล รวมทั้งบิ๊กข้าราชการ ทหาร ตำรวจด้วย หนุนให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง ในยุคที่เงิน “ซื้อ” ข้าราชการไทยได้และมิใช่เฉพาะ กลุ่มมาเฟียจีนเท่านั้น ยังมีมาเฟียชาติอื่นอีก ที่หนีมากบดาน หรือมาทำธุรกิจมืด เช่นรัสเซีย แอฟริกา นิวซีแลนด์ อินเดีย เป็นต้น ข่าวการทลายจับกุมแอปเงินกู้เถื่อนนายทุนจีนปี 2564 พบว่ามีคนไทยผู้เสียหายลูกหนี้รวมกันมากกว่า 7 หมื่นราย

"ธุรกิจสีเทาสีดำธุรกิจมืด" ที่ผิดกฎหมาย หรือ การปล่อยปละ หยวนๆ เช่น ส่วยเทศกิจ กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขยะ สิ่งปฏิกูล ขยะพิษ รวมถึง จพง.ควบคุมมลพิษล่า เป็นต้น ในท้องถิ่น นายทุนจีนมาทำธุรกิจใน อปท. เช่น เปิดผับ บาร์ ร้านเหล้าสถานบริการ โรงงานพลาสติก ที่หย่อนกฎหมาย ใช้เส้นสาย นอมินี ซิกแซกขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ประกอบกิจการฯ เป็นต้น ตามข่าวไฟไหม้ผับ ไหม้โรงงานในเขตเมือง ที่ตรวจพบว่ามีข้อบกพร่องเรื่องการควบคุมอนุญาต แน่นอนว่ามันต้องมีใต้โต๊ะ สีเทา ใช้เงินซื้ออำนวยความสะดวก เป็นต้น นอกจากนี้ ด้วยความได้เปรียบต้นทุนสินค้าจีน จึงมีกลุ่มทุนจีนขอแจมโครงการรัฐบาลสารพัดในช่วงโควิด ไม่ว่าหน้ากากอนามัย เครื่องตรวจ ATK เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจน ชุด PPE น้ำยาฆ่าเชื้อ แอลกอฮอล เครื่องพ่นน้ำยา ถุงมือแพทย์ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ฯลฯ ทุนจีนรุกสู่ท้องถิ่น ในทุกรูปแบบ ด้วยการเข้าถือหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้าง ในรูป Joint Vulture (สัญญาร่วมทุน) มูลค่าโครงการถึงร้อนล้านพันล้าน  เช่น ทุนโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ทุนโรงงานอุตสาหกรรม ทุนสถานบริการ โรงแรม รีสอร์ต ขอแค่ได้เข้ามาอยู่ไทย   

ว่ากันว่า "สมาคม" คือหัวใจสำคัญที่สุด มีการจัดตั้งสมาคมโดยคนจีนใหม่กันมากทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เช่นสมาคมพ่อค้า ที่แต่เดิมก็มีคนไทยเชื้อสายจีนครอบครองอยู่แล้ว งานเจ้าพ่อหลักเมือง งานศาลเจ้าจีน ตามจังหวัดต่างๆ ล้วนมีอิทธิพล ค่อยรุกคืบครอบงำเกลื่อนกลืนเข้าอำนาจบ้านเมือง มีสัมพันธ์อันดี “จิ้มก้อง” กับเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะท้องถิ่นก็ไม่มีเว้น 

กลุ่มนายทุนจีนถือสัญชาติไทยสองสัญชาติ

น่าเป็นห่วงเรื่องความมั่นคง ที่เจ้าพนักงานนายทะเบียนท้องถิ่น (คือ ปลัดเทศบาล เมืองพัทยา และ ผู้อำนวยการเขต กทม.) พึงให้ความสนใจและเฝ้าระวัง กรณีข่าวการ “ทุจริตสัญชาติ” ต่างด้าวสวมสิทธิบัตรประจำตัวประชาชนคนไทย มีการทุจริตสวมสิทธิคนไทยในทะเบียนบ้านแน่นอนว่าการถือสัญชาติไทยย่อมีสิทธิดีกว่าการถือสถานะคนต่างด้าว เพราะสามารถซื้อที่ดิน และประกอบธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและถูกต้องตามกฎหมายได้ และการถือ 2 สัญชาติ ทั้งสัญชาติไทย และสัญชาติจีน สะดวกหลบหนีคดีได้ง่าย

นอกจากการสวมสิทธิคนไทยที่ตายไปแล้ว หรือคนที่ไม่มีตัวตน หรือคนไทยที่ยังมีตัวตนอยู่ ไม่ว่าเจ้าตัวจะยินยอมหรือไม่ยินยอม ก็ตาม และ การปลอมบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อใช้แสดงตนหรือตบตาเจ้าหน้าที่ ล้วนถือเป็นการทุจริตทางการทะเบียน หรือทาง "สถานะบุคคล" ที่เป็นความผิดทางอาญา และมีผลต่อความมั่นคงของรัฐทั้งสิ้น เพราะทำให้คนต่างด้าวได้ใช้สิทธิในฐานะคนไทยที่ไม่ถูกต้อง

นอกจากนี้ข่าวการขอแปลงสัญชาติไทยของคนจีนต่างด้าว ที่มีขั้นตอนระยะเวลาที่รวดเร็วผิดปกติ ทำให้เป็นที่สงสัยของผู้ที่รู้กระบวนการขั้นตอนที่ว่ายาก ประกอบกับพฤติการณ์การถือสองสัญชาติ ทำให้ยิ่งสงสัยมากขึ้น

บทความนี้หวังเพียงชี้ภาพด้านลบในอีกมุมมองหนึ่ง มิใช่ว่าจะมีอคติประการใด แต่เป็นการทบทวนในจุดอ่อนและอุปสรรคที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน แม้ในจุดแข็งเรื่องการหวังสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตแข็งแกร่งจะเป็นเป้าหมายหนึ่งของทุกประเทศ แต่เชื่อว่า หากพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจการสินค้าและบริการ “สีเทา” (รวมสีดำ) เชื่อว่าคงไม่มีรัฐบาล หรือประชาชนในประเทศใดปรารถนา อย่างไรก็ตามหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักวิชาการ อย่าวิจารณ์ หักหน้า แนวคิดนโยบาย เพราะมันจะเปลี่ยนนักวิชาการเป็น อันธพาล นักวิชาการต้องเสนอทางออก หรือแนวคิดที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การเคารพความเห็นต่าง ถ้าไม่มีอคติ มันเป็นเรื่องยาก ต้องเป็นกลางจริงๆ อย่าได้มีอคติบนพื้นฐานของเรื่องที่ปกติทั่วไป

ข่าวดังเรื่องผิดกฎหมายใหญ่ๆ ในรูปมาเฟีย มีเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อครั้งนี้ดูเหมือนว่ารัฐจะเอาจริงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา คงมิใช่ข่าวไฟไหม้ฟาง พอหมดกระแสก็กลับไปเหมือนเดิม หวังว่าในความสนใจของโลกโซเชียลจะไปกระเตื้องการแก้ไขบ้าง ไม่ยุติเงียบหายไปเฉยๆ เพราะหากเป็นคดีเล็กๆ ของคนทั่วไปป่านนี้จับเข้าคุกไปหมดแล้ว