วันที่24​ พ.ย. 65   นายบรรยง วิทยวีรศักดิ์ กูรูวงการประกันและอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA) ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ค​"บรรยง​ วิทยวีรศักดิ์"ความว่าตราบาปของกรมสรรพากร เรื่องภาษีของตัวแทนประกันชีวิต

ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันชีวิตได้เติบโตแบบก้าวกระโดด มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 2 เท่าของอัตราการเติบโตของ GDP มาโดยตลอด และเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ช่องทางตัวแทนประกันชีวิตเป็นช่องทางหลักในการเสนอขายประกันชีวิตและระดมเงินออมเหล่านี้ให้กับประเทศชาติ

ตัวแทนประกันชีวิตได้พยายามปรับเปลี่ยนแนวทางในการทำงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคม โดยพัฒนาตัวเองเป็นที่ปรึกษาการเงิน ที่ต้องวางแผนทั้ง ภาษี การลงทุน การเกษียณอายุและการส่งต่อมรดก เพื่อให้สอดคล้องทิศทางที่เปลี่ยนแปลงของชีวิตคนเราที่อายุยืนยาวขึ้นและกังวลในเงินออมของชีวิตบั้นปลายยิ่งขึ้น ตัวแทนประกันชีวิตต้องลงทุนทั้งเงินและเวลาในการพัฒนาความรู้ ภาพลักษณ์ให้เข้ากับกระแสใหม่นี้

แต่ดูเหมือนมุมมองของภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่มีต่อตัวแทนประกันชีวิต ยังมีมุมมองเดิมๆ ยังมองว่าตัวแทนประกันชีวิตยังทำงานแบบ 30 ปีที่แล้ว พวกเขาก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและสังคม อีกทั้งยังปฏิเสธที่จะปรับตัว ทั้งๆที่มีคนเสนอมุมมองใหม่หลายต่อหลายครั้ง เพียงเพราะว่าพวกเขากลัวว่ามันจะไปกระทบต่อการจัดเก็บภาษีทั้งระบบ โดยไม่ใส่ใจกับหลักการที่พวกเขาพร่ำประกาศขึ้นเองว่า การจัดเก็บภาษีที่ดีต้องประกอบไปด้วย ความเป็นธรรม, ความแน่นอน และความยืดหยุ่น

เรื่องที่ตัวแทนประกันชีวิตเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในการเสียภาษีตลอด 30 ปีที่ผ่านมา คือ

1. การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ความจริงต้องให้บริษัทประกันชีวิตเป็นผู้รับภาระ เพราะเขาเป็นผู้ซื้อบริการกับตัวแทนประกันชีวิต โดยบริษัทสามารถผลักภาระต่อให้ผู้บริโภค ตามหลักการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ว่า ผู้บริโภคคนสุดท้ายต้องเป็นผู้รับภาระ แต่ปัจจุบันกลับให้ตัวแทนประกันชีวิตเป็นผู้รับภาระ หากกรมสรรพากรรู้แล้ว กลับนิ่งเฉย เท่ากับเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ใช่หรือไม่
2. การหักค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันให้หักค่าใช้จ่ายได้เพียง 100,000 บาทต่อปี ไม่ว่าตัวแทนประกันชีวิตจะมีรายได้เท่าไร ค่าใช้จ่ายนี้หักได้เท่ากับคนกินเงินเดือนทั่วไป ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการทำงาน เพราะบริษัทออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด มันจึงไม่เป็นธรรม

เรื่องเหล่านี้ เป็นตรรกะพื้นๆที่คนทั่วไปก็เข้าใจได้ แต่พวกเราใช้เวลาในการเรียกร้องถึง 30 ปี ยังไม่บรรลุผล ผมมองว่ามันเป็นตราบาปของกรมสรรพากร ที่จารึกอยู่ในใจของตัวแทนประกันชีวิตทุกคน 

ต่อไปนี้คือข้อเสนอที่ผมเคยร่างขึ้นมา โดยการรวบรวมความคิดเห็นจากอดีตนายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน คือคุณบัญชัย หรูตระกูล, คุณศิริภรณ์ พุทธรักษ์ และคุณบงกช บวรฤกษ์ ร่วมกับกูรูภาษีหลายท่าน อาทิเช่น คุณปภาสร แก้วกอบสิน, คุณบดีพล แสงปลั่ง, คุณเกรียงศักดิ์ เหล่าอาภาสุวงศ์ และคุณอดิพล โอวาทศิริวงศ์ ซึ่งท่านเหล่านี้เป็นอาจารย์สอนหลักสูตรวางแผนภาษีในสถาบันต่างๆ ดังนั้นหลักการที่เสนอ จึงถูกต้องตามหลักภาษีแน่นอน 

ส่วนข้อเรียกร้องจะได้มากน้อยเท่าไร ขึ้นกับการพิจารณาของภาครัฐ แต่ถ้าปฏิเสธไม่พิจารณาเลย ก็ถือว่าไม่เป็นธรรมแน่นอน โดยท่านทั้งหลาย(ผู้อ่าน)สามารถอ่านได้จากข้อเสนอข้างล่างนี้ ที่เคยเสนอต่อรัฐบาลชุดนี้ไปแล้วเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ๆ แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ

การพิจารณาให้อาชีพตัวแทนประกันชีวิตเป็นผู้มีรายได้ตามมาตรา 40(8)

ประชาชนคนไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษี เพื่อนำไปพัฒนาประเทศ แต่รัฐโดยกรมสรรพากร ต้องจัดเก็บภาษีด้วยความเที่ยงธรรม รวมทั้งต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมและสภาพการทำธุรกิจของผู้มีเงินได้ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อาชีพตัวแทนประกันชีวิตเป็นอาชีพหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก สมควรที่จะได้รับการพิจารณาให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน

สภาวะการณ์ที่เปลี่ยนไป

ในยุคปัจจุบัน มีอาชีพมากมายที่ได้รับผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี มีคู่แข่งใหม่ๆเกิดขึ้น อาชีพตัวแทนประกันชีวิตเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ มีคู่แข่งมากขึ้น ทั้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารและการขายออนไลน์ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่สามารถเปลี่ยนได้คือ ตัวแทนประกันชีวิตต้องเข้าพบลูกค้าแบบตัวต่อตัว แถมยังต้องใช้เครื่องมือทางการตลาดรวมถึงเทคโนโลยีช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น

ในอดีต ต้นทุนในการประกอบอาชีพของตัวแทนประกันชีวิต อาจมีเพียงเครื่องแต่งกาย กระดาษปากกา ขึ้นรถเมล์ออกไปเสนอขายลูกค้าก็ได้แล้ว แต่ปัจจุบันคนที่จะทำงานขายประกันชีวิตเป็นอาชีพได้ ต้องมีรถยนต์ส่วนตัว ต้องลงทุนจัดซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา เข้ารับการฝึกอบรมแบบต่อเนื่อง และมีข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติจากผู้คุมกฎภาครัฐ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย( คปภ.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.)ที่ซับซ้อนเพื่อให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับอารยะประเทศ จึงทำให้ลักษณะงานของตัวแทนประกันชีวิตเปลี่ยนไป ดังนี้

ตัวแทนประกันชีวิตในอดีต / ตัวแทนประกันชีวิตในปัจจุบัน

จากสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไปข้างต้น จึงทำให้ตัวแทนประกันชีวิตที่เคยมีต้นทุนในการประกอบอาชีพเพียงค่าดำรงชีพเหมือนกับคนกินเงินเดือนตามมาตรา 40(1) เริ่มมีต้นทุนดำเนินงานในลักษณะการทำธุรกิจในเชิงพาณิชย์ เหมือนคนประกอบธุรกิจค้าขายตามมาตรา 40(8) ซึ่งควรจะได้มีการพิจารณาให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกปัจจุบัน

 

การเปรียบเทียบต้นทุนในการประกอบอาชีพระหว่างคนกินเงินเดือนและตัวแทนประกันชีวิต

ดังที่ได้เกริ่นในตอนต้นว่า ในอดีตการทำธุรกิจของตัวแทนประกันชีวิตนั้นเรียบง่าย มีเพียงกระดาษปากกา ก็ขายประกันได้แล้ว แต่ในปัจจุบัน ลักษณะงานมีความซับซ้อน ต้องใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็มีปริมาณแปรผันไปตามยอดรายได้ โดยขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของตัวแทนประกันชีวิตกับคนที่เป็นพนักงานบริษัท ดังนี้

ค่าใช้จ่ายของคนกินเงินเดือนตาม 40(1) เปรียบเทียบกับตัวแทนประกันชีวิต 40(2)

นอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว  ในเรื่องความเสี่ยงด้านรายได้ และหลักประกันในชีวิต ก็ยังมีความแตกต่างระหว่างตัวแทนประกันชีวิตและพนักงานบริษัทหรือข้าราชการดังนี้
หลักประกัน / ความเสี่ยง ของคนกินเงินเดือน /พนักงานบริษัท กับตัวแทนประกันชีวิต

 
จะเห็นได้ว่าอาชีพตัวแทนประกันชีวิตในปัจจุบัน มีต้นทุนในการประกอบอาชีพสูงกว่าอดีตมาก มีการแข่งขันสูง แต่มีความมั่นคงต่ำ ทำให้สถิติการคงอยู่ในอาชีพตัวแทนประกันชีวิตในระยะยาว อยู่ที่ 10 ต่อ 1 เท่านั้น คือจากคนที่มาขอรับใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิต 10 คนจะอยู่ในธุรกิจได้จริงๆ(ห้าปีขึ้นไป)เพียง 1 คนเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า  ทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าทิ้งงานเดิมเข้ามาสู่ธุรกิจประกันชีวิต

อนึ่ง ในปีหนึ่งๆ มีคนยื่นขอสมัครสอบเป็นตัวแทนประกันชีวิตประมาณ 200,000 คน สอบผ่านและยื่นจดทะเบียนเป็นตัวแทนประกันชีวิต 100,000 คน แต่จำนวนตัวแทนประกันชีวิตที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ยังยืนอยู่ที่ 280,000 คน มาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไม่เพิ่มขึ้นเลย เข้ามาเท่าไร ก็ออกไปเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า งานขายประกันชีวิตเป็นงานที่ยาก มีความไม่มั่นคงสูง และมีอัตราการหมุนเวียนเข้าออกที่สูงมาก

จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ต้นทุนในการทำงานของตัวแทนประกันชีวิตสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับพนักงานบริษัทหรือคนกินเงินเดือนตามาตรา 40(1) จึงขัดเจตนารมณ์ของมาตรา 3 ที่บัญญัติเรื่องการจัดเก็บภาษีที่ดีตามประมวลรัษฎากรจะต้องประกอบไปด้วย ความเป็นธรรม, ความแน่นอน,ความสะดวก,ความประหยัด,การอำนวยรายได้,ความเป็นกลางทางเศรษฐกิจและความยืดหยุ่น

ข้อเสนอแนะ
จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมา ทางสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน จึงใคร่ขอให้ทางกรมสรรพากรพิจารณาวางหลักการในการจัดเก็บภาษีจากตัวแทนประกันชีวิตเป็นดังต่อไปนี้

ข้อเสนอที่ 1  เรื่องการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ตามมาตรา 40(8)
อาชีพตัวแทนประกันชีวิตนั้น  มีความแตกต่างจากอาชีพอื่น ดังนี้
-ต้องไปติดต่อเพื่อนำเสนอการขายหลายราย และหลายครั้งกว่าจะได้ลูกค้า 1 ราย (โดยเฉลี่ยพบ 8-10 ครั้งจึงจะขายได้ 1 ราย/ รวมการส่งมอบกรมธรรม์) จึงมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง  ค่าอาหาร  ของฝากลูกค้ามากมาย  ถือเป็นค่าใช้จ่ายประเภทต้นทุน  ไม่ใช่ค่ารับรองเหมือนกิจการอื่นๆ
-ต้องแสวงหารายชื่อผู้มุ่งหวัง  อาจจะต้องมีรายจ่ายลงทุนเพื่อหาช่องทางตลาด  เช่น ค่าสมาชิกสโมสรต่างๆ ที่มีกลุ่มผู้มุ่งหวังรวมตัวอยู่  ค่าสมาชิกสถานที่ออกกำลังกาย  ค่าอาหารเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์

-หลักฐานใบเสร็จรับเงิน มีทั้งแบบมีใบเสร็จรับเงินและไม่มี  เช่น การซื้อของฝาก กระเช้าผลไม้  ค่าสมาชิกสมาคมต่างๆที่กระทำเพื่อแสวงหาลูกค้า  แต่มีลักษณะคล้ายเป็นรายจ่ายส่วนตัวตามมาตรา 65 ตรี  ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นต้นทุนในการหารายได้

เมื่อพิจารณาตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 11 กำหนดเรื่องค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมินเป็นการเหมา  และแก้ไขโดยพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 629  ให้หักได้ไม่เกินร้อยละ 60  โดยที่ยังคงมาตรา 8 ทวิ ในพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 11 ซึ่งให้เงินได้ตามมาตรา 40(8)  ที่มิได้ระบุไว้ในมาตรา 8  ให้หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร ทั้งนี้ให้นำมาตรา 65 ทวิ และ มาตรา 65 ตรี มาบังคับโดยอนุโลม  จึงไม่ยุติธรรม ถือเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

ดังนั้น  ในประเด็นนี้จึงใคร่ขอให้เงินได้ตามมาตรา 40(8) ของตัวแทนประกันชีวิต ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545 สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ร้อยละ 60 หรือสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจำเป็นและสมควร โดยสามารถนำค่ารับรองที่จำเป็นถือเป็นต้นทุนของกิจการได้ตามความเหมาะสม

ข้อเสนอที่ 2 เรื่องการลงบันทึกรายได้ของตัวแทนประกันชีวิต
รายได้ของตัวแทนประกันชีวิตส่วนใหญ่มาจากการขายกรมธรรม์ใหม่ กล่าวคือจะได้ค่านายหน้ามากในปีแรกๆ และจะน้อยลงตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป โดยทั่วไปในปีแรกจะได้รับค่านายหน้าประมาณ 25% ปีที่สองค่านายหน้าเหลือ 10% ปีที่สามจะเหลือ 5% และปีที่ 4 เป็นต้นไปจะลดลงมาเหลือ 1% ในขณะที่ต้นทุนในเรื่องค่าบริการ ไม่ว่าการเก็บเบี้ยประกันชีวิต การบริการเรียกร้องสินไหม และค่าปฏิทินไดอารี่ จะคงที่ หรือเพิ่มขึ้นเมื่อผู้เอาประกันชีวิตอายุมากขึ้น ย่อมมีการเรียกร้องสินไหมที่มากขึ้น  

ดังนั้น กรมสรรพากรน่าจะพิจารณาอนุญาตให้ตัวแทนประกันชีวิตเสียภาษีแบบเกลี่ยรายได้ออกไป เพราะค่านายหน้าที่ได้รับในปีแรก มันเป็นเสมือนค่าบริการที่รับล่วงหน้า แต่มีภาระที่จะต้องบริการต่อเนื่อง ซึ่งไม่ต่างกับศูนย์บริการออกกำลังกาย (ฟิตเนส) ที่รับค่าสมาชิกเป็นก้อน แต่มีอายุสมาชิก 3 ปี หรือ 5 ปี ที่ต้องค่อยๆรับรู้รายได้ตามจำนวนปีของอายุสมาชิก

ด้วยวิธีการลงบัญชีบันทึกรายได้แบบนี้ จะทำให้กรมสรรพากรได้เข้าใจลักษณะงานของตัวแทนประกันชีวิต ที่มีภาระผูกพันที่ต้องบริการระยะยาว และต้องแบกรับความคาดหวังของลูกค้าทั้งหมดที่ตนดูแลอยู่ แต่นี่คือความรับผิดชอบของตัวแทนมืออาชีพที่ยังอยู่ในธุรกิจประกันชีวิตได้ในระยะยาว

ข้อเสนอที่ 3  เรื่องค่ารับรอง
การแสวงหาลูกค้าใหม่ และการให้บริการที่ดี
เพื่อการซื้อประกันเพิ่มเติมของลูกค้าเดิม จำเป็นที่จะต้องมีการบริการเยี่ยมเยียน ซื้อของฝาก  ของเยี่ยมตามเทศกาลต่างๆ  กระเช้าเยี่ยมไข้ ฯลฯ  การซื้อของดังกล่าวมีทั้งแบบมีใบเสร็จรับเงินและไม่มีใบเสร็จรับเงิน   และยังถือเป็นต้นทุนหลักในการบริการ  มิใช่ค่ารับรองตามมาตรา 65 ตรี (4) ที่กำหนดหลักเกณฑ์โดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 143


จึงขอให้พิจารณาให้ค่าใช้จ่ายนี้เป็นต้นทุนค่าบริการ   โดยกำหนดอัตราส่วนเสมือนต้นทุนการบริการ  ไม่ใช่ร้อยละ 0.3 ของเงินได้เหมือนธุรกิจทั่วไป

ข้อเสนอที่ 4  เรื่องค่าเสื่อมราคารถยนต์
ปัจจุบัน งานของตัวแทนประกันชีวิตได้พัฒนาไปเป็นที่ปรึกษาการเงิน เป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือเป็นการส่วนตัวของตัวแทนขาย  นอกจากรูปลักษณ์การแต่งกายแล้ว  รถยนต์ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่ง  บางกรณีจะต้องใช้รถยนต์รับส่งลูกค้าด้วย  เช่นการพาลูกค้าไปตรวจร่างกาย   การใช้รถยนต์นั่งจึงถือเป็นต้นทุนสำคัญในการหารายได้หลัก  มิใช่เพื่ออำนวยความสะดวก  จึงควรจะหักค่าเสื่อมราคารถยนต์นั่งได้ไม่จำกัด 1 ล้านบาทตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 145  มาตรา 5   แต่ควรจะถือเป็นต้นทุนหลักในการหารายได้  หักค่าเสื่อมราคาได้เช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 505  กรณีธุรกิจรถยนต์ให้เช่า


กรณีนี้นอกจากจะสร้างความเป็นธรรมแล้ว  จะช่วยให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่ายลงทุน  อุตสาหกรรมเกี่ยวกับรถยนต์จะเติบโต  ช่วยให้รัฐมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น

ข้อเสนอที่ 5  เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มเกี่ยวกับรถยนต์นั่ง
ต่อเนื่องจากเรื่องค่าเสื่อมราคารถยนต์นั่ง  ภาษีซื้อของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์นั่ง  ถูกกำหนดไม่ให้หักจากภาษีขายแต่ให้หักเป็นค่าใช้จ่าย  ซึ่งหากเป็นกิจการทั่วไปที่ต้องมีการส่งสินค้า  จะใช้รถยนต์ประเภทอื่นเพื่อส่งสินค้า  สามารถนำภาษีซื้อจากรถยนต์ดังกล่าวมาเป็นภาษีซื้อได้  กรณีตัวแทนประกันชีวิตทำหน้าที่พบลูกค้าทุกวัน ทั้งเสนอขาย ให้บริการหลังการขาย เช่น รับเบี้ยประกันภัย ทำเรื่องเรียกร้องสินไหม ซึ่งต้องการความคล่องตัว อีกทั้งต้องไปในทุกตรอกซอกซอย บางแห่งไม่มีรถสาธารณะบริการ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์นั่งส่วนตัว  สมควรที่จะพิจารณาให้นำภาษีซื้อจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับรถยนต์นั่งมาเป็นภาษีซื้อได้

ข้อเสนอที่ 6  เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม  เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ  ทำให้ตัวแทนประกันชีวิตมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากบริษัทประกันชีวิตเนื่องจากเป็นผู้รับบริการ    แต่ธุรกิจประกันชีวิตนั้นอยู่ในระบบภาษีธุรกิจเฉพาะ  จึงได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม  หากมีภาษีมูลค่าเพิ่ม จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น  อาจจะต้องเพิ่มค่าเบี้ยประกันชีวิต  สร้างภาระให้แก่ผู้เอาประกัน  ส่งผลเสียต่อธุรกิจประกันชีวิต  จึงกลายเป็นภาระของตัวแทนประกันชีวิตโดยจำยอม   เป็นความเหลื่อมล้ำและบิดเบี้ยวของกฎหมาย

จึงขอให้ภาษีขายสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้  คล้ายกับกรณี ภ.พ.36 ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าเป็นผู้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม และนำไปเป็นภาษีซื้อได้

ข้อเสนอที่ 7  เรื่องการหักค่าใช้จ่าย 2 เท่า
การหักค่าใช้จ่ายที่กำหนดให้ใช้มาตรา 65 ทวิ และ มาตรา 65 ตรีแห่งประมวลรัษฎากร  ซึ่งมีสิทธิประโยชน์ให้แก่บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในบางกรณีที่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า  ดังนั้นสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่นิติบุคคลได้รับ  ก็ควรจะอนุโลมให้แก่บุคคลธรรมดาที่ใช้เกณฑ์ในการหักค่าใช้จ่ายแบบเดียวกันด้วย  เช่น ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินลงทุน ค่าอบรมสัมมนา ค่าหนังสือสื่อการอ่าน

ข้อเสนอที่ 8  เรื่องการสัมมนาต่างประเทศ
การแข่งขันของตัวแทนประกันชีวิตเพื่อการสัมมนาและท่องเที่ยวในต่างประเทศ   เมื่อทางกรมสรรพากรให้ถือว่าเป็นรายได้ในรูปค่านายหน้า  ทำให้ตัวแทนจะต้องคำนวณเป็นเงินได้  นอกจากเสียภาษีเงินได้ ยังมีภาระต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม  ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงมีการสัมมนารวมอยู่ด้วย  มิใช่การท่องเที่ยวอย่างเดียว และมิได้เกิดจากการให้บริการ  จึงใคร่ขอให้พิจารณาไม่นับเป็นเงินได้ และไม่ต้องคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม คล้ายกับลักษณะของ ป.118 เรื่องการหัก ณ ที่จ่ายและการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายรางวัลหรือส่วนลด หรือประโยชน์ใดๆ เนื่องจากการส่งเสริมการขาย

ข้อเสนอที่ 9  ขอให้พิจารณาทบทวนคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545
ทางสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินมีความเข้าใจดีว่า ที่ผ่านมาทางกรมสรรพากรได้พยายามเข้ามาแก้ปัญหาและปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับลักษณะงานของตัวแทนประกันชีวิตที่เปลี่ยนไป ด้วยการออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.115/2545 ผ่อนผันให้อาชีพตัวแทนประกันชีวิตสามารถเลือกเสียภาษีตามมาตรา 40(8) ได้ แต่เมื่อพิจารณาในเนื้อหาโดยละเอียดแล้วพบว่า กรมสรรพากรได้วางเงื่อนไขที่ยาก จนตัวแทนส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้สิทธิได้ 

เช่น ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องมีพนักงานอย่างน้อยหนึ่งคน หรือต้องมีสำนักงานเป็นกิจจะลักษณะ จึงมีคำถามว่า ทำไมการที่ผู้มีเงินได้จะหักค่าใช้จ่ายตามจริงต้องมีรายได้ 1,800,000 บาทขึ้นไป หรือทำไมต้องบังคับให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% ทำไมคนที่พบลูกค้าวันละ 3-4 คน ถ้าไม่มีลูกจ้างจึงถูกบังคับให้หักค่าใช้จ่ายได้เท่ากับคนที่พบลูกค้าวันละ 1 คนทั้งๆที่ต้นทุนต่างกัน 

และสุดท้ายการทำธุรกิจแบบอาชีพอิสระ ( Free lance) ที่เป็นแนวโน้มของคนรุ่นใหม่ อาจมีการว่าจ้างคนนอกเข้ามารับงาน เช่นคนรับส่งเอกสาร คนเขียนโปรแกรมเสนอขาย ไม่น่าจะมีข้อจำกัดว่าค่าใช้จ่ายแบบนี้หักเป็นต้นทุนไม่ได้ ถ้าไม่มีลูกจ้างประจำ หรือไม่มีสำนักงาน ในเมื่อมันเป็นต้นทุนแปรผันที่เกิดขึ้นจริง

สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินมีความตั้งใจจริงที่จะร่วมแก้ปัญหา ดังนั้น เราจะไม่เสนอให้ทุกอาชีพในมาตรา 40(2)หักค่าใช้จ่ายตามจริงทั้งหมด เพราะจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร แต่จะขอย้ายอาชีพตัวแทนประกันชีวิตทั้งหมดไปเป็นผู้มีเงินได้ตามมาตรา40(8) ซึ่งน่าจะกระทำได้ง่ายกว่า
 


ประเทศชาติจะได้อะไรจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในภาวะที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไปเป็นสังคมผู้สูงอายุ อาชีพตัวแทนประกันชีวิตมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้คนเก็บออมเงินและสร้างหลักประกันทางด้านสุขภาพ พวกเราทำงานด้วยการออกไปให้ความรู้แก่ประชาชนถึงบ้าน ไปทุกตรอกซอกซอย ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องวางแผนการเงิน นับเป็นหน่วยให้ความรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเข้าไปให้ความรู้ถึงตัวบุคคล (เป็นข้อสรุปของรัฐบาลสิงคโปร์ในปี 2558) ถือเป็นการช่วยลดภาระของรัฐบาล  อีกทั้งยังช่วยรัฐบาลในการระดมเงินออมเพื่อพัฒนาประเทศ สมควรที่รัฐบาลจะได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนบุคคลเหล่านี้

มีข้อมูลของหน่วยงานมากมาย ยืนยันว่านอกจากการออมในภาคบังคับเช่นการประกันสังคมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว การออมภาคสมัครใจที่คนไทยเลือกทำมากที่สุดคือการทำประกันชีวิต และเป็นเหตุผลเดียวกับที่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกงและสิงคโปร์ ต่างสนับสนุนอาชีพตัวแทนประกันชีวิต โดยให้หักค่าใช้จ่ายได้ 30-50% ของรายได้โดยไม่มีเพดาน เสมือนเป็นหน่วยธุรกิจหน่วยหนึ่ง ขณะที่ประเทศไทย อนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายได้เพียงค่าดำรงชีพ เหมือนกับคนกินเงินเดือน ไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่สนใจว่า ตัวแทนประกันชีวิตคนนั้นจะมีค่าใช้จ่ายดำเนินการในการประกอบธุรกิจมากเท่าไร

สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินหวังอย่างยิ่งว่า จะได้รับความกรุณาในการทบทวนพิจารณา มอบความเป็นธรรมให้กับตัวแทนประกันชีวิตทั่วประเทศ เพื่อจะได้มีขวัญกำลังใจทำงานช่วยประเทศชาติสืบไป”

ท่านทั้งหลายครับ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนผมเป็นนายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิต มีสมาชิกมาเสนอให้ไปเดินขบวนประท้วงการคิดภาษีที่ไม่เป็นธรรม ณ ที่ทำการของกรมสรรพากร เพื่อให้รัฐบาลได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนของพวกเรา ผมบอกพวกเขาไปว่า เราเป็นอารยะชน ไม่ควรทำอะไรอย่างนั้น ประชาชนจะมองพวกเราไม่ดี แต่ผ่านมาอีก 10 ปี ผมเริ่มคล้อยตามแล้วว่า กับคนบางกลุ่ม เราต้องใช้วิธีพิเศษในการพูดคุย ดังนั้น ตอนนี้ถ้าใครจะรวมกลุ่มกันไปประท้วงเรื่องนี้ ผมเป็นคนหนึ่งที่จะไปด้วยครับ

โทมัส เจฟเฟอร์สัน อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐเคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การรุกขึ้นต่อสู้คือหน้าที่” ผมเริ่มเห็นด้วยกับความคิดนี้จริงๆ

หมายเหตุ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ตัวผมและเพื่อนๆ ได้นำรายชื่อตัวแทนประกันชีวิต 750 คน ยื่นเรื่องร้องเรียนกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่ถูกต้อง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการคิดภาษีผิดพลาด โปรดอ่านในรายละเอียดได้ที่ลิ๊งต์ข้างล่างนี้

https://siamrath.co.th/n/45905