จากกรณีที่มีคลิปในโซเชียลมีเดียนำเส้นผมมาแหย่ท่อน้ำตากันเอง เพื่อแก้ปัญหาท่อน้ำตาอุดตัน ดังที่มีกระแสอยู่ในเวลานี้

วันที่ 18 พ.ย. 2565 ศ.วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ หัวหน้าศูนย์ตาธรรมศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประประธานวิชาการและกิจกรรมสังคม ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า จริงๆ เป็นวิธีที่คนสมัยก่อนทำกัน เมื่อสงสัยว่าท่อน้ำตาตีบหรือตัน แต่ปัจจุบันไม่แนะนำ เนื่องจากเส้นผมไม่สะอาด การนำไปแยงท่อน้ำตาซึ่งเป็นส่วนที่มีโอกาสติดเชื้อง่ายและสูง และต่อลงไปถึงโพรงจมูก อาจทำให้เกิดอาการอักเสบและติดเชื้อบริเวณท่อระบายน้ำตาลงไปถึงโพรงจมูกได้

โดย ศ.วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ปกติแล้วท่อน้ำตามีขนาดเล็กมาก 1 ใน 4 มิลลิเมตร การเกิดท่อน้ำตาตีบหรืออุดตันปกติจะเกิดใน 2 ช่วงอายุ คือ ท่อน้ำตาตันแต่กำเนิดจะเจอในเด็กแรกเกิด พบได้ประมาณ 4-5% ทำให้เด็กมีน้ำตาคลอหรือน้ำตาไหลข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง จะเป็นได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน อีกกลุ่มคือผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ประมาณ 60-70 ปีขึ้นไป เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปนานมากขึ้นก็จะมีหินปูนมาเกาะ ทำให้ตีบหรือตันได้ อุบัติการณ์ขึ้นอยู่กับอายุ ยิ่งอายุเยอะก็จะพบมากกว่า แต่โดยประมาณพบอยู่ที่ 7-8%

ส่วนเรื่องของอาการนั้น ในคนที่มีอาการเหมือนน้ำตาไหลหรือน้ำตาคลอต้องแยกลักษณะก่อน หากรู้สึกเป็นแค่น้ำตาเหนียวๆ เกาะที่ดวงตา ตรงนี้ไม่ใช่อาการของท่อน้ำตาตัน แต่เป็นอาการของคนที่น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาแห้งหรือโรคตาแห้ง ซึ่งจะเหลือเป็นเมือกๆ เกาะตา จึงรู้สึกว่าเหมือนมีน้ำตาคลอตา แต่ไม่ได้เกิดจากท่อน้ำตาตัน ก็จะรักษาโดยให้น้ำตาเทียมหยอด

“หากสงสัยว่าจะเป็นท่อน้ำตาตัน น้ำตาที่คลอจะต้องไหลออกมาเลยเป็นหยดออกจากตาเลย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุอาจเกิดจากท่อน้ำตาตัน จักษุแพทย์จะใช้เครื่องมือล้างทดสอบดูว่าท่อระบายน้ำตาตันจริงหรือไม่ หากตันจริงอาจขยายท่อน้ำตาให้ หรือหากจำเป็นต้องผ่าตัดก็จะผ่าตัด ซึ่งมีความปลอดภัย”ศ.วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว

ศ.วุฒิคุณ นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีในเด็กแรกเกิดเราจะสังเกตอาการ ถ้าอายุ 1 ขวบยังไม่หายก็สามารถแยงท่อน้ำตาได้ โดยใช้เส้นลวดทางการแพทย์ และดำเนินการโดยจักษุแพทย์ก็จะมีความปลอดภัย ทั้งนี้ หากมีอาการสงสัยเกี่ยวกับดวงตาควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและให้การดูแลรักษาอย่างถูกต้อง