ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ การอ่านโลก...อ่านชีวิตถือเป็นคุณสมบัติอันสำคัญ ที่ชีวิตต้องค่อยๆเรียนรู้มันมีจุดเริ่มต้นที่ถูกกลั่นออกมาจากจิตใต้สำนึก อันเป็นบ่อเกิดของความลับภายในที่ไม่มีใครสามารถจะก้าวล่วงเข้าไปรับรู้ได้จวบจนเวลาได้ผันผ่านไป บางสิ่งบางอย่างอันเป็นความลับของใครคนหนึ่ง ก็อาจจะปราฎกออกมาให้เห็นทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ เป็นอุบัติการณ์เหนือการคาดคิดที่อาจเป็นได้ทั้งความเจ็บปวดและขมขื่น รวมทั้งอาจเป็นได้ถึงความสุขอันเคลือบแคลงแต่แสนจะประทับใจของชีวิต”
“ The Reader ” นวนิยายขายดีของ “เบิร์นฮาร์ด” ที่เชื่อกันว่าคนเยอรมันส่วนใหญ่ต้องได้อ่าน และส่งผ่านความยิ่งใหญ่แห่งอำนาจของวรรณกรรมชิ้นนี้ไปทั่วโลกโดยถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ ร่วม 40 ภาษาและขายเฉพาะแค่ในอเมริกาได้ถึงหนึ่งล้านเล่ม...ที่สำคัญมันกลายเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียนในระดับมัธยมทั้งนี้เพื่อการเรียนรู้อดีตอันขมขื่นที่ประวัติศาสตร์ของชาวเยอรมันต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำของพวกนาซีที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและมือที่เปื้อนเลือด...ว่ากันว่าบรรดาเหล่าชีวิตของผู้ที่เกิดอยู่ร่วมกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องเผชิญกับกลิ่นอายที่บ้าคลั่งของเหล่านาซีและการปฏิบัติการของพวกเขาจะมีสภาวการณ์ของชีวิตที่เต็มไปด้วยความหมายของการเรียนรู้...อันซ่อนเงื่อนซ่อนปมที่ไม่รู้สิ้น...โดยเฉพาะหากใครก็ตามรอดชีวิตมา...มันเป็นเหมือนว่าแม้ชีวิตจะหลุดพ้นแต่ดูเหมือนหัวใจจะถูกกักขังอยู่อย่างนั้น...ว่ากันว่าการถูกกักขังในลักษณะนี้เป็นการถูกกักขังในเงื่อนงำแห่งความลับของชีวิต...ซึ่งแน่นอน...มันมักจะคาบเกี่ยวกับภาวะแห่งจิตวิญญาณที่แต่ละคนต่างดิ้นรนที่จะเปิดเปลือยจริตมายาเฉพาะตนที่ซ่อนลึกให้ไหลหลั่งและปรากฏออกมาสู่การรับรู้ภายนอกด้วยแง่มุมที่เต็มไปด้วยปริศนาแห่งการกระทำ...อันถือเป็นเหตุผลส่วนตัวในการบรรลุและค้นหาทางออกที่ถูกปิดของชีวิตซึ่งเป็นความหมายของการเผชิญหน้าเพื่อการรับรู้และเรียนรู้ในชีวิต...คล้ายกับการอ่านหนังสือที่แฝงเร้นไว้ด้วยนัยยะที่ต้องตีความค้นหา ที่ผู้อ่านแต่ละคนจะต้องคอยเก็บความจากบริบทอันเป็นพื้นฐาน...บริบทแห่งความเป็นต้นฉบับเพื่อก้าวไปสู่จุดดิ่งลึกอันสูงสุดของหนังสือเล่มนั้น...ปะติดปะต่อรูปรอยของสำนึกคิดอันบางเบาจนไปสู่แก่นความหมายอันยิ่งใหญ่ของสำนึกแห่งการเป็นนักอ่านชีวิตผู้เชี่ยวชาญ
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1958...หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลงประมาณ 13 ปี “ไมเคิล เบิร์ก” เด็กหนุ่มวัย 15 ได้เกิดป่วยด้วยอาการที่ค่อนข้างหนักระหว่างเดินทางกลับบ้านในวันหนึ่ง...เขาได้รับการเยียวยาช่วยเหลือชีวิตในครั้งนั้นจากพนักงานเก็บเงินบนรถรางสายหนึ่ง เธอคือสาวใหญ่ในวัย36 “ ฮันนา ชมิทช์... การช่วยเหลือกันในครั้งนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความผูกพันอันเร้นลึก...เป็นสัมผัสแห่งโลกฝันอันชวนหลงใหลของกามารมณ์ที่ฮันนาพร่ำสอนให้แก่เด็กหนุ่ม...ปรนเปรอเป็นความสุขให้กับเขาอยู่วันแล้ววันเล่า...จากวันเป็นเดือน...และหลายเดือนผ่านไป...เธอขอให้เขาอ่านหนังสือให้ฟังเป็นการตอบแทน...อ่านตามที่เธอขอ...มันคล้ายดั่งจุดบรรลุสูงสุดระหว่างกัน...ของชายและหญิงที่ถ่ายทอดก้นบึ้งแห่งแรงปรารถนาที่ส่งมอบให้แก่กันและกันอย่างท่วมท้นแม้จะดูเหมือนไร้สติและไม่เข้าใจ...แต่มันก็คือการแลกเปลี่ยนแห่งเจตนารมณ์ที่สมน้ำสมเนื้อ...เป็นปริศนาคาใจที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งฝังลึกเข้าไปในเนื้อในของหัวใจ... “ เราไม่อาจรู้ในสิ่งที่ไม่มีใครต้องการให้รับรู้...แต่เราอาจจะรู้ในสิ่งที่เราเฝ้ามองสงสัย ทั้งๆที่เราไม่ปรารถนาที่จะรู้ ” นี่คือสัจธรรมอำพรางที่เต็มไปด้วยความยากเย็นในการตีความ...แล้ววันหนึ่งจู่ๆฮันนาก็หายตัวไป...หายตัวไปจากภาวะการณ์อันชวนคลั่งไคล้ใหลหลงที่เธอเป็นผู้สร้างขึ้น...หายไปจากการอ่านโลกอ่านชีวิตที่เป็นเหมือนการเปรียบเทียบแห่ง “พรมจรรย์ของการเปิดเปลือย”...ภาวการหายไปอย่างไร้เยื่อใยและปราศจากการกล่าวลาเช่นนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจของเด็กหนุ่ม...มันเป็นมนตราแห่งเสน่หาที่พลัดหลงเข้ามาสร้างค่าความหมายอันรื่นรมย์แก่ชีวิต แล้วก็ค้างไว้แค่กากเดนแห่งความทรงจำที่ไร้เยื่อใย...แต่อย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป... “ไมเคิล” เติบใหญ่กลายเป็นนักศึกษากฎหมาย...เขาเรียนมหาวิทยาลัยแล้วและอยู่ในวัย 23 ปี ....แปดปีแห่งการพรากจาก จากหญิงสาวอันเป็นปริศนาผู้สร้างเงื่อนปมที่สลับซับซ้อนให้แก่หัวใจและพลังความรู้สึกแห่งการรับรู้ของเขา เหมือนจะทำให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างระแวดระวังมากกว่าจะตักตวงใช้ชีวิตในด้านใดด้านหนึ่งอย่างตะกละตะกลาม เห็นแก่ประโยชน์...ไร้ความรับผิดชอบ แต่กลับปล่อยให้ความหลงใหลที่ไร้จุดจบนำพาชีวิตไป ครั้นความหลงใหลต้องถูกตัดขาดและยุติความสัมพันธ์ลงในทันใด ชีวิตของเขาก็ทั้งสั่นไหวแกว่งไกวด้วยวัยที่ยังปรับแต่งชีวิตไม่ถูก นี่คือบทเรียนอันถือเป็นบททดสอบอันล้ำค่าของเขา...เป็นเรื่องเล่าเรื่องสำคัญแห่งชีวิตที่ ‘ไมเคิล เบิร์ก’ ได้ตัดสินใจเล่าขานให้ผู้อื่นได้รับรู้ปมปริศนาที่ซ่อนลึกอยู่ในใจของนักเรียนกฎหมายผู้จริงจัง และเต็มไปด้วยจิตนึกที่ดีงามของความรับผิดชอบ... เหตุการณ์สำคัญได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาอีกครั้งหนึ่ง...เมื่อเขาต้องไปทำวิจัยในศาล เกี่ยวกับการตัดสินพิพากษาคดีของบรรดาเหล่าอดีตนาซี ผู้อยู่ในสถานะของผู้พ่ายแพ้ ไม่ใช่ผู้ทรงอำนาจต่อความเป็นตาย เหมือน 20 กว่าปีก่อน ปีค.ศ.1966 ถือเป็น 21 ปีที่สงครามโลกครั้งที่2 ได้ยุติลงและอำนาจอันป่าเถื่อนบ้าคลั่งของเหล่านาซีภายใต้การนำของเผด็จการฮิตเลอร์ ต้องยุติบทบาทแห่งอำนาจลงอย่างสิ้นเชิง ...และที่ศาลกับเงื่อนไขของการทำในวิจัย ไมเคิลได้พบกับฺฮันนาอีกครั้งโดยไม่คาดคิด
ไมเคิล เติบโตขึ้น แต่ฮันนากลับร่วงโรยลงตามอายุไข ทุกสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงไม่มี ‘สวนแห่งความลับ’ และรอยอำพรางระหว่างกันในสถานะของคนทั้งสอง ... การพบกันในครั้งนี้...เป็นการพบกันด้วยภาวะแห่งการสัมผัสภายนอกด้วยเลือดเนื้อของความเป็นจริง ไม่ใช่การพบกันในโลกแห่งความเร้นลับเฉพาะตัว...เฉพาะแรงปรารถนาในใจของแต่ละคน ฮันนาตกเป็นจำเลยในคดีร้ายแรงด้วยข้อหาของการก่ออาชญากรรม เมื่อครั้งที่นาซีเปี่ยมเต็มไปด้วยอำนาจ เธอรับหน้าที่เป็นยามคุมค่ายกักกันที่จะต้องดูแลนักโทษชาวยิวที่ถูกกักขังและจำกัดพื้นที่ไว้ในโบสถ์แห่งหนึ่ง แต่ ณ ที่นั้น เธอบกพร่องในการทำหน้าที่ ณ เวลานั้นเธอปล่อยให้นักโทษชาวยิวทั้งหมด 300 คนต้องถูกไฟคลอกตายไปอย่างสยดสยองภายในโบสถ์ ...เกิดอะไรขึ้นกับฮันนา เกิดอะไรขึ้นกับความรับผิดชอบที่ผิดพลาดของเธอ นี่คือปริศนาแห่งการสืบค้นและไต่สวน
‘มันคือความลับของความลับ’ อยู่ในหนังสือของชีวิตที่ไมเคิลจะต้องอ่านอีกครั้งโดยมีฮันนาเป็นแรงผลักดันแต่คราวนี้เธอไม่ได้ขอร้องเขาเพื่ออ่านให้ฟัง ด้วยหน้าที่แห่งการเรียนรู้ด้านกฎหมาย เขาจำเป็นต้องย้อนกลับไปค้นหาความเป็นมาของเธออีกครั้ง...เขาต้องเฝ้าสังเกตและต้องไปฟังการพิจารณาคดีความที่ฮันนาตกเป็นจำเลยนี้อย่างต่อเนื่อง แล้วที่สุด เขาก็ได้ค้นพบความลับบางประการเกี่ยวกับตัวเธอและภาระผูกพันที่ผิดพลาดต่อการรับผิดชอบเมื่อในอดีต สิ่งที่ไมเคิลค้นพบเป็นความลับขั้นสูงสุดของชีวิตที่อาจจะช่วยให้เธอพ้นโทษได้ แต่ทว่า มันอาจจะต้องแลกมาด้วยความอับอายที่ซ่อนลึกอยู่กับความลับอันมืดดำนี้ไม่ว่าจะเป็นความทบซ้อนที่เกิดอยู่กับใจของเธอหรือว่าเขา
“แม้ความอับอายจะทำให้ชีวิตรอด...แต่การยอมตายไปพร้อมกับความลับที่น่าละอายของชีวิตก็คือความหมายของทุกสิ่งแห่งความเป็นจิตวิญญาณที่หลุดพ้นเช่นเดียวกัน”
ไมเคิล...กลายเป็นนักอ่านชีวิตผู้เชี่ยวชาญไปแล้วและดูเหมือนฮันนาจะยิ่งพิสูจน์ตัวของเธอว่า...เธอคือหนังสือแห่งชีวิต...ที่อ่านตัวเองได้ออกเสมอ...และนับวันเธอก็ยิ่งเป็นนักอ่านที่รู้ดีว่า...ควรจะอ่านชีวิตไปในทางใดและเลือกอ่านบทใด...เพื่อเป็นตัวอย่างแบบเรียนแก่ใคร...ประเด็นสำคัญตรงนี้แหละที่ถือเป็นความยิ่งใหญ่และสร้างพลังให้ได้มีการพูดถึง “The Reader” กันอย่างมากมาย มันคือเครื่องหมายของการเรียนรู้...ผ่านการเติบโตของไมเคิล ผ่านข้อวินิจฉัยในการอธิบายความและเล่าความของเขา...
แท้จริงแล้ว...ความเข้าใจในการอยู่รอดของมนุษย์คือเนื้อหาอันยิ่งใหญ่ที่ผู้เรียนรู้ในชีวิตทุกคนต้องเข้าให้ถึง...อ่านให้ขาดและตัดสินใจที่จะมีหรือจะเป็นให้ดีที่สุดเพื่อเหตุผลแห่งอนาคตและการก้าวข้ามความเป็นประวัติศาสตร์แห่งความหมายของความเป็นตัวตนให้จงได้...
...ผมต้องอ่านนวนิยายเล่มนี้อีกครั้งหนึ่งจากฉบับแปลของ “สมชัย วิพิศมากูล”...หลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จาการเขียนบทโดย “เดวิด แฮร์” ผู้เคยเขียนบท ‘The Hours” อันเป็นชีวประวัติที่โด่งดังของนักเขียนหญิงเรืองนาม “เวอร์จิเนีย วูล์ฟ”มาแล้ว...บทของเขาส่งให้ เคท วินสเล็ท ที่รับบทบาทเป็น “ฮันนา” โด่งดังก้องโลกโดยทันทีจากรางวัลที่เธอได้รับทั้งในฐานะของนักแสดงนำและนักแสดงสมทบ จากรางวัลทางด้านการแสดงในทุกๆสถาบัน...นับแต่ลูกโลกทองคำ บาฟตาและออสการ์
โดยส่วนตัวผมถือว่า ทั้งน้ำหนักของความเป็นวรรณกรรมและความเป็นหนัง ให้น้ำหนักที่สอดคล้องและเป็นดุลยภาพแก่กันและกันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความกลมกลืนแห่งสัญญะของการสื่อสารที่มีหลายส่วนที่ต้องอาศัยเชิงชั้นในการประพันธ์ขั้นสูงที่จะผูกมัดใจผู้อ่าน...ให้ติดตาม...มีส่วนร่วม...และดิ่งลึกลงไปในปมปริศนาที่“เบิร์นฮาร์ด ชลิงค์”ได้สร้างสรรค์ขึ้นอย่างประณีตบรรจง...เช่นเดียวกับฉบับแปลเป็นภาษาไทย...ที่ผู้แปลได้ถ่ายทอดสื่อสารภาษาอันลึกซึ้งด้านในออกมาได้อย่างละเมียดละไมและงดงามในทางอารมณ์ที่ให้ชีวิตชีวาจริงๆ
“ The Reader”…คือองค์รวมแห่งการตระหนักรู้อันทรงคุณค่าทั้งต่อสัญชาตญาณพื้นฐานและหัวใจแห่งการใคร่ครวญที่ลึกซึ้งอ่อนโยน มันคือหนังสือที่กระซิบบอกให้เราอ่าน...และตลอดเวลาที่เราทำตามเสียงกระซิบนั้น...หนังสือเล่มนี้จะอ่านชีวิตของเราและประกาศให้ทั้งตัวเราและโลกแห่งความหมายของชีวิตได้รู้ว่า “ภาวการณ์ของชีวิตนั้นล้วนเต็มไปด้วยความหมายของการเรียนรู้...” และนี่คือเรื่องเล่าอันแท้จริงของนักอ่านชีวิต...
“ การอ่านโลภ...อ่านชีวิตถือเป็นคุณสมบัติอันสำคัญ ที่ชีวิตต้องค่อยๆเรียนรู้มันมีจุดเริ่มต้นที่ถูกกลั่นออกมาจากจิตใต้สำนึก อันเป็นบ่อเกิดของความลับภายในที่ไม่มีใครสามารถจะก้าวล่วงเข้าไปรับรู้ได้ ”