เมื่อวันที่ 11 พ.ย.65 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางสาวสุกัลญา นักธุรกิจสาว วัย 47 ปี ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบริษัท เอกชน ผู้ประมูลงานโครงการจ้างเหมากำจัดขยะมูลฝอยต่อจาก บริษัทอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมประทานในการจ้างเหมากำจัดขยะมูลฝอย ที่กำลังจะหมดสัญญาลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
โดยนางสาวสุกัญญา ได้ให้เหตุผลถึงการร้องเรียนขอความเป็นธรรมว่า ได้รับมอบอำนาจจากบริษัท ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ งานพลังงาน ชีวมวล บริษัทฯ ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา และมีสาขาอื่นๆ ตามจังหวัดต่าง อีกหลายแห่ง เมื่อวันที่ 4 ต.ค.65 บริษัทได้เข้าร่วมการประมูล โครงการกำจัดขยะจากประกาศเชิญชวนทาง e-bidding เลยเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ ผลปรากฎว่า ได้ แต่เป็นผู้ประมูลรายเดียว มีอีก 5 บริษัทร่วมซื้อซองเข้าประมูล แต่ไม่มีใครเคาะราคา จึงเป็นผู้ชนะ
แต่ทาง อบต. ไม่ลงประกาศแจ้งว่ายกเลิก หรือไม่เป็นไปตามระเบียบ แต่กลับออกเป็นหนังสือแจ้งส่งไปที่ บริษัทว่าขอยกเลิก ด้วยเหตุผลข้อ 2 ซึ่งไม่มีใน Tor และได้ทำสัญญากับบริษัทอีกแห่ง เมื่อวันที่ 7 ต.ค.65 ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้าร่วมซื้อประมูล แต่ไม่เคาะราคา รับบริษัทนี้เข้ามาจัดจ้างพิเศษ เฉพาะเจาะจง ในราคาเต็ม โดยที่บริษัทดังกล่าวไม่มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน จนถึงปัจจุบันขยะนับ 6 พันตันไม่ได้รับการจัดการ ตามสภาพที่เห็น ได้เข้าร้องเข้า ปปช.จังหวัด แค่ลงรับเอกสาร ไม่ได้รับเรื่องมีเลขที่ จึงเดินทางเข้า ปปช.ส่วนกลาง
นางสาวสุกัญญา กล่าวต่อว่า ตนเกรงว่าเรื่องเงียบ เพราะเส้นสายเขาดี และทางพัสดุ อบต.ยังโทรมาแจ้งขอให้ยกเลิกหนังสือ รวมทั้งบอกด้วยว่า ทหารยังไม่ได้ให้พื้นที่จัดทำขยะ แต่กลับมาเปิดประมูล โครงการฯ ตนเลยมองว่า นี่คุณเปิดประมูลโดยผิดกฎหมาย รวมถึงอ้างถึงกรมบัญชีกลางว่า ขอ 2 % จากราคาประมูล เพื่อส่องดูว่า ผู้ประมูลรายอื่น ใส่เท่าไหร่ ชี้นำเพื่อให้ได้ชนะการประมูลในครั้งถัดไป
“ดิฉันมองว่า การกระทำในครั้งนี้ร้ายแรง แต่ก็อยากให้เข้ากระบวนการตามขั้นตอนโดยพึ่ง ปปช.จังหวัด แต่กลับไม่ลงเลขรับเอกสารให้จนล่วงเลยเวลามา 1 สัปดาห์ ดิฉันเลยเดินทางไปที่ ปปช.ส่วนกลาง เลยทราบเรื่องว่า ปปช.กาญจนบุรี ไม่ได้รับเรื่องร้องทุกข์ เพียงแต่รับเอกสารเท่านั้น มันเป็นความอัดอั้นตันใจของดิฉันว่า ประชาชนจะพึ่งพาใครได้ ในเมื่อภาครัฐมีการกระทำแบบนี้ เลยอยากขอวิงวอนสื่อฯ ขอให้ช่วย เพราะไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร หรือทำอย่างไงต่อไป " นักธุรกิจสาวเมืองย่าโม กล่าวทิ้งท้าย