ชาวบ้านโปร่ง อ.ธาตุพนม อาชีพทำข้าวเม่าขาย จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำกินในครัวเรือน พัฒนาต่อยอดสู่อาชีพสร้างรายได้ กลายเป็นธุรกิจเงินล้าน โกยเงินวันละแสน ออเดอร์ล้นมือ ทำไม่ทัน สร้างแพจเก็จใหม่บรรจุถุงสำเร็จรูป โกอินเตอร์ส่งขายทั่วไทย ถึงต่างประเทศ เก็บไว้กินได้นานเป็นปี เจ้าของเล็งต่อยอดผลิตตลอดปี ช่วยเกษตรกรชาวนาขายข้าวเปลือกราคาดี
วันที่ 2 พ.ย.65 ที่ จ.นครพนม ต้องยอมรับว่าเป็นอาชีพที่สุดทึ่ง และยังเป็นที่ต้องการของตลาด สำหรับข้าวเม่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน ของ กลุ่มอาชีพทำข้าวเม่า แม่สุนาต บ้านโปร่ง ต.ฝั่งแดง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ถือเป็นอาชีพภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่สืบทอดมากกว่า 20 ปี จากเดิม ทำกินในครัวเรือน ก่อนที่จะพัฒนาต่อยอดนำมาเป็นธุรกิจค้าขาย โดยยังเน้นความเป็นต้นตำหรับภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นจุดขาย ในขั้นตอนการผลิตแบบดั้งเดิม ทำให้ ข้าวเม่าบ้านโปร่ง เป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากมีความหอม นุ่มอร่อย เพราะวัตถุดิบ ผลิตจากข้าวเม่าแท้ และต้องผ่านกระบวนการผลิตแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อให้ได้ข้าวเม่าคุณภาพ ทั้ง นุ่ม หอม อร่อย จนเป็นที่ต้องการของตลาด ถึงแม้ 2 ปี ที่ผ่านมา จะเกิดสถานการณ์โควิดแต่ไม่ได้รับผลกระทบ ยังมีลูกค้า จากทั่วประเทศ สั่งซื้อ นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบสร้างแพคเกจใหม่ เพื่อเอาใจลูกค้า ต่างจังหวัด บรรจุข้าวเม่าถุงซีลสูญยากาศ สามารถเก็บนานได้เป็นปี ไม่แข็ง ส่งข่าวทั่วประเทศ โกอินเตอร์ ถึงต่างประเทศ ปัจจุบัน มีราคาขายที่ประมาณ กิโลกรัมละ 100 – 120 บาท สาสมารถสร้างรายได้ ไม่ต่ำกว่า วัน 1 แสนบาท รวมมูลค่าสร้างรายได้หมุนเวียน ปีละเกือบ 10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับชุมชน อีกทั้งช่วยเกษตรกรชาวนา แก้ปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ อีกทาง จนทำให้ปัจจุบัน ออเดอร์สั่งล้นมือ ผลิตไม่ทัน
ด้าน นางสุนาต กุมรา อายุ 54 ปี ชาวบ้านโปร่ง ต.ฝั่งแดง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เจ้าของแหล่งผลิตข้าวเม่าชื่อดัง แม่สุนาต ที่ยึดอาชีพภูมิปัญญาชาวบ้านมานานกว่า 20 ปี ในการทำข่าวเม่าขาย เล่าถึงการทำข่าวเม่าว่า เดิมในอดีตข้าวเม่าถือเป็นผลผลิตภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เริ่มจากทำกินเองในครัวเรือน เนื่องจาก ข้าวเม่าจะเป็นข้าวที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นข้าวที่สามารถนำไปปรุงแต่งเป็นเมนูของวาน ขนมหวาน เป็นหลัก เพราะมีรสชาติหอมอร่อย เนื่องจากจะมีกรรมวิธี ดั้งเดิม คือ จะต้องเป็นข้าวเหนียวพันธุ์พื้นบ้าน หรือ ข้าว กข. 10 และ กข.12 ที่ใช้ระยะเวลาเพาะปลูก ประมาณ 3 -4 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ แต่จะต้องเป็นช่วงตั้งท้อง เป็นเมล็ดข้าวน้ำนม ที่ถูกคิดค้นตามภูมิปัญญาอีสาน เพราะจะมีความหอมหวานในตัว โดยจะเริ่มจากการเก็บเกี่ยวจากแรงงานคน จนปัจจุบันมีการพัฒนาใช้รถเกี่ยวข้าว เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ก่อนนำมานวดเอาเมล็ดข้าว เพื่อนำมาคั่วให้สุกในกระทะขนาดใหญ่ ให้เกิดความหอม ก่อนนำไปผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปสีด้วยเครื่องสีข้าว เอาเปลือกออกจะได้เมล็ดข้าวอ่อน จนไปสู่ขั้นตอนการตำด้วยครกกระเดื่องโบราณ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นครกกระเดื่องตำด้วยเครื่องยนต์ เป็นการทุ่นแรง รวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดข้าวเกิดความนุ่ม ก่อนนำส่งออกไปขาย กลายเป็นการเพิ่มมูลค่าข้าว สามารถนำไปปรุงเป็นเมนูของหวานได้สารพัด หรือสามารถทานได้เลยแบบไม่ต้องปรุงแต่ง ที่สำคัญ ข่าวเม่า ยังเป็นเมนูที่ไร้สารเจือปนปลอดสารพิษ แปรรูปด้วยกรรมวิธีธรรมชาติพื้นบ้าน
ส่วน นายชราวุธ กุมลา อายุ 34 ปี ทายาสข้าวเม่าแม่สุนาต ผู้สืบทอดอาชีพ และผู้ชำนาญเรื่องการทำข้าวเม่า กล่าวอีกว่า หัวใจสำคัญของข้าวเม่าแท้ คือ จะต้องมีความหอม นุ่ม อร่อย และจะต้องทำจากข้าวน้ำนม ที่จะต้องผ่านการคั่ว ตำด้วยครกกระเดื่องเท่านั้น ซึ่งทุกปี ตั้งแต่เดือนสิ่งหาคม จะเริ่มเก็บผลผลิตข้าวมาแปรรูป เป็นข้าวเม่าส่งขาย ในราคากิโลกรัมละประมาณ 100-120 บาท ยิ่งช่วงงานเทศกาลบุญประเพณีออกพรรษา ไปถึงปีใหม่ จะมีพ่อค้า แม่ค้า มาสั่งซื้อไม่อั้น จนผลิตแทบไม่ทัน จนมีการพัฒนาการผลิตเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือน ขนาดเล็ก สามารถผลิตได้สูงสุดวันละเกือบ 2 ตัน แต่คุณภาพการผลิตจะต้องคงที่ ทั้งรสชาติ คุณภาพข้าวต้องคัดเลือกมาก่อนเข้าสู่การผลิต แต่ละวันสร้างรายได้ตกวันละประมาณ 50,000 บาท ถึง 100,000 บาท หักค่าใช้จ่ายจะได้กำไรสูงประมาณ 30 -40 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างรายได้แรงงงานในชุมชน ต้องว่าจ้างแรงงานวันละ 20-30 คน ช่วยในการผลิต มีรายได้คนละ 300 -400 บาทต่อวัน แต่จะมีปัญหาเรื่องของข้าววัตถุดิบในการผลิตไม่เพียงพอ เพราะบางพื้นที่ เข้าฤดูแล้งนาข้าวขาดแคลนน้ำไม่สามารถปลูกข้าวได้ ต้องไปทำอาชีพอื่น ส่วนหนึ่งได้พัฒนาข้าวเม่าแพคเกจใหม่ บรรจุถุงซีลสุญญากาศ ประมาณ 1 กิโลกรัม เพื่อสะดวกในการส่งขายให้ลูกค้าต่างจังหวัด มีสั่งซื้อส่งถึงต่างประเทศ อนาคตกำลังวางแนวทาง หาวัตถุดิบให้สามารถผลิตได้ตลอดปี แต่ต้องหาแหล่งทำนาปรัง ที่ปลุกข้าวได้ในฤดูแล้ง อีกทั้งยังเป็นการช่วยเกษตรกรชาวนา เพราะรับซื้อข้าวเปลือกสูงกว่าพ่อค้าคนกลาง รับซื้อในราคาประมาณ กิโลกรัมละประมาณ 10 บาท จากปกติขายในท้องตลอดกิโลกรัมละ 5 บาท เป็นการช่วยชาวนาเพิ่มรายได้อีกทางด้วย โทรสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.093-343-1176