เมื่อวันที่ 21 ต.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมมอบนโยบายและแนวทางการเร่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันสู่ประชาชนให้กับ อสม.และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ในโครงการรวมพลัง อสม. ส่งต่อภูมิคุ้มกันป้องกัน 608 ให้ปลอดภัย ว่า แม้สถานการณ์โรคโควิด 19 จะคลี่คลายแล้ว แต่ยังเน้นย้ำทุกหน่วยงานส่งเสริมประชาชนป้องกันตนเอง โดยเฉพาะให้มารับวัคซีนเข็มกระตุ้นคือมากกว่าเข็มที่สองเป็นต้นไป ทั้งนี้ ได้กำชับ นพ.สสจ. และ ผอ.รพ.เตรียมพร้อมให้บริการวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่ประชาชนที่ประสงค์มารับ อย่าให้รอนาน มีภาระค่าใช้จ่ายใดๆ ถ้ามาได้จากการประสานของ อสม. รพ.สต. รพ.ชุมชน ที่จะมีความใกล้ชิดกับชาวบ้านมากกว่า รพ.ใหญ่ๆ ในตัวเมืองก็จะสะดวกมากขึ้น โดยการให้ อสม.ส่งต่อภูมิคุ้มกันนั้น จะเริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธ.ค. 2565 มีเป้าหมายอย่างน้อย 2 ล้านโดส และขอให้ อสม.ทุกคนฉีดเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 1 เข็ม เพื่อเป็นต้นแบบ​ เราเน้นไปที่กลุ่ม 608 ควรได้รับอย่างน้อย 70% ย้ำว่าเข็มกระตุ้นช่วยลดอาการหนักจากโควิด คือ ไข้สูง ไอมากกว่าปกติ หรือใส่เครื่องช่วยหายใจ และช่วยให้ไม่เสียชีวิต 

เมื่อถามถึงงบประมาณวัคซีนปี 66 ตั้งงบประมาณเท่าไร นายอนุทินกล่าวว่า เรารอประชุมคณะกรรมการวัคซีนฯ และคณะกรรมการวิชาการ มานั่งดูว่าตอนนี้มีวัคซีนในสต๊อกอย่างไร บริหารจัดการอย่างไร ยังมีหลายประเทศให้บริจาค เราก็รับ ล่าสุดมีเยอรมนี ให้มา 2 ล้านกว่าโดสของไฟเซอร์ เรามีแอสตร้าฯ ที่เราสั่งอยู่ กำลังให้ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคเจรจาว่า วัคซีนที่สั่งไปขอเปลี่ยนเป็น LAAB เหมือนคราวก่อน เพื่อฉีดให้กับผู้ป่วยไม่ได้รับวัคซีนมาก่อนเลยโดยเฉพาะสูงอายุ จะได่สร้างภูมิคุ้มกันทันที แต่ราคาไม่เท่าวัคซีนทั่วไป ก็จะเปลี่ยนให้ได้จำนวนที่ประเทศต้องการและให้การรักษาแบบฉับพลันทันที แบบเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วัคซีนยังอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้อยู่