คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

นับตั้งแต่ “ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน” มีคำสั่งให้กองกำลังทหารบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งมีการประเมินกันว่า เขาอาจจะตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์

ทว่าขณะนี้สงครามยูเครนผ่านไปแล้วเกือบแปดเดือน แต่กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีปูตินยังไม่ได้นำอาวุธนิวเคลียร์ออกมาใช้ดั่งที่ออกมาป่าวประกาศแต่อย่างใดเลย!!!

อนึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านว่า “ประธานาธิบดีปูตินคงจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ เหมือนดั่งที่กล่าวอ้างตลอดมา” โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้กล่าวเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “การที่ประธานาธิบดีปูตินออกมากล่าวข่มขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามยูเครนนั้น ถือเป็นการพูดแบบไม่มีความรับผิดชอบ”

ส่วน “ยูรี ฟรีดแมน”นักเขียนของนิตยสารดิ แอตแลนติก ที่เธอได้เขียนบทความตีพิมพ์เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2022 ที่ผ่านมาว่า เธอได้รับการแบ่งปันข้อมูลมาจาก Pavel Podvig ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ออกมากล่าวว่า “รัฐบาลรัสเซียคงจะนำเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์มาพิจารณา ก็ต่อเมื่อไม่สามารถจะรักษาดินแดนที่ยึดครองมาได้”

แต่เนื่องจากการที่ประธานาธิบดีปูตินมักจะเอ่ยปากขู่ว่าจะเอาอาวุธนิวเคลียร์ออกมาใช้นั้น มีผลทำให้ทั้งสหรัฐฯรวมไปถึงบรรดาพันธมิตรของนาโต ไม่สามารถเพิกเฉยอยู่นิ่ง จำต้องออกมาเคลื่อนไหวรวมตัวเรียกประชุมรัฐมนตรีกลาโหมของนาโตเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับประธานาธิบดีปูติน!!!

และภายหลังการประชุมขององค์การนาโตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2022 ที่ผ่านมานี้จบลง “นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก” เลขาธิการองค์การนาโตได้ออกมาแถลงว่า “องค์การนาโตได้เพิ่มการสนับสนุน เพื่อระดมหาแนวทางป้องกันประเทศยูเครน” และยังกล่าวเสริมว่า “สัปดาห์หน้าชาติพันธมิตรขององค์การนาโต 14 ประเทศ จากสมาชิกทั้งหมด 30 ประเทศ จัดเตรียมซ้อมรบด้วยอาวุธนิวเคลียร์”

ปริศนาท้าทายที่ประธานาธิบดีปูตินอาจจะตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์นั้น  มิใช่เป็นประเด็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ดังจะเห็นได้จากการรายงานข่าวเอพีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2022 ที่ผ่านมาว่า “ถือได้ว่ารัสเซียและสหรัฐอเมริกาควบคุมหัวรบนิวเคลียร์คิดเป็น 90% ของทั่วโลก โดยรัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมด 5,977 หัวรบ ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีหัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมด 5,428 หัวรบ”

เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การที่กองกำลังทหารรัสเซียกำลังดิ้นรนต่อสู้อยู่ในยูเครนขณะนี้ ได้กลายเป็นสัญญาณความสิ้นหวังของปูติน โดยล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวสุนทรพจน์ว่า “ข้าพเจ้าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นที่จะใช้ปกป้องพื้นที่ของยูเครนที่รัสเซียสามารถผนวกยึดครองเอามาได้เท่านั้น ”

อย่างไรก็ตาม “วิลเลียม เบิร์นส์” ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันย่อๆว่า “ซีไอเอ” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ “60 Minutes” เมื่อเร็วๆนี้ว่า “สหรัฐฯต้องเอาจริงเอาจังต่อคำข่มขู่ที่ออกมาจากปากของประธานาธิบดีปูติน เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง”

และเขายังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากข่าวกรองของสหรัฐฯในขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานใดๆในทางปฏิบัติที่ทำให้เห็นว่า ประธานาธิบดีปูตินจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ”

ในทางกลับกันสหรัฐฯจะตอบโต้กลับต่อประธานาธิบดีปูตินอย่างไรนั้น?

เป็นที่แน่นอนว่า สหรัฐฯคงจะวางแผนป้องกันเหตุการณ์ฉุกเฉินเอาไว้เรียบร้อยแล้วในทุกๆด้านแบบพร้อมที่จะตอบโต้ได้ในทันที

ทั้งนี้จากการแถลงข่าวของประธานาธิบดีปูตินในกรุงอัสตานา เมืองหลวงของคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2022 ที่ผ่านมาว่า “เมื่อใดก็ตามที่กองกำลังนาโต้เข้าโจมตีปะทะกับกองกำลังรัสเซีย เมื่อนั้นหายนะอันยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้”

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีปูตินเคยเอ่ยปากเตือนเมื่อเดือนที่แล้วว่า เขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องดินแดนทั้งสี่ภูมิภาคของยูเครนที่รัสเซียสามารถยึดครองผนวกเอาไว้ได้

และเมื่อวันอังคารที่ 11 ตุลาคม 2022 ที่ผ่านมานี้ กลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกหรือที่เรียกว่า G7 ที่กอปรด้วยสหราชอาณาจักร เยอรมนี อิตาลี แคนาดา สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ได้ออกมาย้ำเตือนว่า การใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครนจะส่งผลร้ายแรง

อีกทั้งบรรดาผู้นำของกลุ่ม G7 ได้กล่าวต่อไปอีกว่า “เราขอแสดงความเสียใจต่อการที่รัสเซียจงใจจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบ ทำให้สันติภาพของโลกต้องตกอยู่ในความเสี่ยง” (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์The Times of India วันที่ 15   ตุลาคม 2022)

อนึ่งวิกฤติการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในสงครามยูเครนทั้งหมดนั้น จะกล่าวโทษประธานาธิบดีปูตินเพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้เช่นกัน สืบเนื่องมาจากจะเห็นได้ว่าทุกๆครั้งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีการเจรจาพูดคุยทั้งแบบส่วนตัวและแบบเป็นทางการทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีปูติน เขามักจะหาเรื่องทะเลาะหรือกล่าวประชดประชันเลกเชอร์ต่อประธานาธิบดีปูตินแทบทุกๆครั้ง 

ซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับครั้งที่ “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี”พบปะพูดคุยกับ “นายกรัฐมนตรีนิกิตา ครุสเชฟ” ของรัสเซีย ที่ประธานาธิบดีเคนเนดีได้แสดงความยโสต่อนายกรัฐมนตรีครุสเชฟ จนทำให้เกิดวิกฤตอาวุธนิวเคลียร์ขึ้น เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 ที่ครั้งนั้นประธานาธิบดีเคนเนดียื่นคำขาดให้เรือขนอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียกลับไป ที่ครั้งนั้นรัสเซียตั้งใจจะนำอาวุธนิวเคลียร์ไปตั้งที่คิวบา เพื่อจ่อหัวรบนิวเคลียร์ไปยังสหรัฐฯที่อยู่ห่างเพียงเก้าสิบไมล์ ซึ่งครั้งครานั้นก็เกือบจะกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์เช่นกัน หากว่านายกฯครุสเชฟเกิดดื้อแพ่งไม่ยอมทำตามที่ประธานาธิบดีเคนเนดีขีดเส้นตายเอาไว้!!!

ส่วนในกรณีที่ประธานาธิบดีปูตินเริ่มออกอาการหัวเสียและโมโหเพิ่มขึ้นจากการที่ทหารยูเครนสามารถต่อสู้จนยึดดินแดนกลับคืนไปบางส่วนนั้น จนเขาได้เอ่ยปากขู่ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ก็อาจจะเพื่อต้องการข่มขวัญชาวยูเครนและประชาชนชาวโลก แต่เป็นที่แน่นอนว่าหากเมื่อใดก็ตามที่ประธานาธิบดีปูตินใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้าจู่โจมยูเครนจริงๆ ประธานาธิบดีปูตินก็คงจะตระหนักดีว่า จะเป็นผลทำให้ทหารรัสเซียกับทหารอเมริกาและทหารของชาติพันธมิตรนาโตต้องเผชิญหน้ากัน และสงครามก็จะต้องขยายไปในวงกว้าง จนในที่สุดประธานาธิบดีปูตินก็ไม่อาจจะคุ้มครองปกป้องชีวิตของเขาได้ด้วยเช่นกัน!!!

ส่วนในกรณีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2022 ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 35 ประเทศ ที่ออกมาประกาศงดลงมติในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยไม่กล่าวประณามรัสเซียกับที่ผนวกดินแดนสี่ภูมิภาคนั้น ในขณะที่มีประเทศสมาชิกถึง 143 ประเทศได้ร่วมกันประณามนั้น นับว่าเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดของรัฐบาลไทยที่ไม่ต้องการทำลายบรรยากากาศอันดี สืบเนื่องจากประธานาธิบดีปูตินจะเดินทางเข้าร่วมประชุมเอเปค ที่กรุงเทพฯระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2022 นี้ และประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีแผนการที่จะเข้าร่วมด้วย โดยเอเปคต้องการเปิดกว้างสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในกลุ่มของสมาชิก 21 ประเทศที่มีรัสเซีย สหรัฐอเมริกาและจีน ร่วมอยู่ด้วย

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการประชุมเอเปคที่กำลังจะจัดขึ้นเดือนหน้าในกรุงเทพฯ ที่ครั้งนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ก็อาจจะเป็นเวทีเชื่อมความสัมพันธ์ที่ผู้นำทั้ง 21 ประเทศ จะช่วยกันหาทางลดวิกฤตโลกเกี่ยวกับสงครามยูเครนที่กำลังมีความตึงเครียดก็เป็นได้ เพราะวิกฤตโลกที่เกิดขึ้นมาบ่อยๆครั้งมักจะแก้ได้บนโต๊ะเจรจา และหากครั้งนี้สามารถเจรจาพาทีจนยุติข้อขัดแย้งเอาไว้ได้ ก็คงจะเป็นหนทางที่จะรักษาหน้าของผู้นำมหาอำนาจแต่ละฝ่ายเอาไว้ จนไม่ต้องไปหาหมอให้รับเย็บแผลแตกยับเยินอีกด้วยละครับ