เมื่อวันที่ 20 ต.ค.65 ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 12 ภัยแอลกอฮอล์:ความเสมอภาค และการเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบัน หัวข้อ“พัฒนาการสำคัญของการขับเคลื่อนงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ปลอดภัย” กับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และภาคีเครือข่าย ที่ ศูนย์จัดประชุมคณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ จ.สงขลา


       
ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวว่า เข้าสู่ปีที่ 21 ที่ สสส. ยึดมั่นเจตนารมณ์หนักแน่น สร้างสังคมสุขภาวะ ให้ปลอดภัยจากอบายมุขทุกชนิด ผ่านการส่งเสริมข้อมูลทางวิชาการ และรณรงค์ให้เกิดการลด ละ เลิก “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักและปัจจัยเสี่ยงร่วม ก่อให้เกิดปัญหาต่อผู้ดื่มและคนรอบข้าง ทั้งสุขภาพ ระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง Non-communicable diseases: NCDs (NCDs) ซึ่งคนไทยเสียชีวิตมากที่สุดทุกปี จากงานวิจัยการศึกษาต้นทุนผลกระทบทางสังคมจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย พ.ศ.2560 ได้ประมาณการความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 86,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ค่ารักษาพยาบาล2,508  ล้านบาท 2.ค่าดำเนินคดีความ 1,407 ล้านบาท 3.ค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินจากอุบัติเหตุจราจรทางบก 31 ล้านบาท 4.ค่าการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและสูญเสียบุคลากรด้านการงานที่ดี 82,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ส่งผลเสียต่อสังคมวงกว้าง


 
ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า แต่ข่าวดีคือ ข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2564 พบอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยมีแนวโน้มลดลง ร้อยละ 28 จาก ร้อยละ 28.40 เมื่อปี 2560 ขณะที่ข้อมูลภาวะสังคมไทย โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบค่าใช้จ่ายบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2564 ลดลงเช่นกัน เหลือเพียง167,775 ล้านบาท จาก 169,946 ล้านบาท เมื่อปี 2563 จึงเป็นกำลังใจที่ดีในการสานพลังกับภาคีเครือข่าย ผ่านการดำเนินงาน 4 ข้อ 1.พัฒนาฐานข้อมูลเชิงวิชาการและนักวิชาการให้เกิดข้อเสนอเชิงนโยบาย 2.ผลักดันกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มข้น 3.พัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อเด็ก-เยาวชน-คนทุกกลุ่ม 4.พัฒนาต้นแบบนวัตกรรมเพื่อรณรงค์สื่อสาร สร้างความตระหนักรู้ให้สังคมปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยง


 
"สสส. ขอประกาศเจตนารมณ์ว่า จะทำหน้าที่สานพลัง สร้างนวัตกรรม สื่อสารสุขภาวะ เพื่อทำให้ทุกคนมีวิถีชีวิตสังคม และสิ่งแวดล้อม ที่สนับสนุนต่อการมีสุขภาวะที่ดี ปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยงที่ทำลายสุขภาวะ งานประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 12 ปีนี้ เปรียบเสมือนขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ จากทั้งนักวิชาการ ภาคีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ ที่ร่วมกันจุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลัง ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อประชาชนต่อไป"ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว


 
ศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการแผนงานศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบนักดื่มปัจจุบัน จำนวน 15.9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ28 ของประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ส่วนนักดื่มหน้าใหม่หรือประชากรที่เพิ่งเริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรกในชีวิต ภายใน 3 ปีก่อนการสำรวจ มีจำนวน 1.3 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 5.93 โดยนักดื่มหน้าใหม่เพศหญิง มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่านักดื่มเพศชายอย่างเด่นชัด ขณะที่สถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 และโครงสร้างของประชากร รวมถึงการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางสื่อสังคมออนไลน์, กิจกรรมการตลาดที่เพิ่มขึ้น, การใช้ตราเสมือน และการให้ทุนอุปถัมภ์จากอุตสาหกรรมสุรา ส่งผลให้เกิดนักดื่มหน้าใหม่ และผู้ดื่มมีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ 


 
“แม้จะเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ของนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทย แต่ยังจะต้องใช้แผนปฏิบัติการด้านควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติ ระยะที่ 2 ปี 2564 - 2570 เข้มข้นต่อไป และยอมรับว่า ยังพบปัญหาและอุปสรรค ในการแก้ไขปัญหา ศวส. จึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ และตระหนักถึงการดูแลตนเอง เพื่อป้องกันปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากขึ้นต่อไป” ศ.ดร.พญ.สาวิตรี กล่าว


 
ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ รักษาการอธิการบดีม.สงขลานครินทร์ กล่าวว่า 12 ปี ของการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 12 เห็นถึงความเข้มแข็งและยั่งยืนของหลักการสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาในการขับเคลื่อนงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งหน่วยงาน วิชาการ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม และเพื่อให้การจัดการกับปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีประสิทธิภาพและนำไปสู่นโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์พร้อมให้การสนับสนุนการทำงานในด้านของการประสานความร่วมมือกับศูนย์วิชาการหรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการขยายวงนักวิจัย นักวิชาการสาขาอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างฐานความรู้ให้กับสังคม ผลักดันความเป็นผู้นำทางวิชาการ และการนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์สูงสุด