บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น)

การปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดเป็นดาบสองคม

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า มีดีและมีเสีย แต่จากเสียงวิพากษ์เห็นว่าผลเสียจะมีมากกว่า เพราะความเป็นยาเสพติด เป็นสิ่งเสพติด มีสารเสพติด ที่มีอาการต่อจิตประสาท ไม่ว่าจะเสพด้วยวิธีสูดควัน หรือรับประทานเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือใช้เป็นยา ข่าวการปลดล็อกกัญชา ออกจากยาเสพติด หรือที่เรียกขานว่า “กัญชาเสรี” (Cannabis Liberation) ทำให้สายเขียวฮือฮา ด้วยเป็นพืชพื้นบ้านที่มีมานานแล้ว หลายคนที่รู้จักกัญชาอาจชอบใจ ไม่ว่าจะชอบใจที่ได้เสพเสรี หรือ ได้ขายเสรี หรือ ได้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับกัญชาเสรี มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะคนรากหญ้า ได้รักษาโรคด้วยกัญชาเสรี ล้วนเป็นที่วิพากษ์ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมองในมิติใดก็ตาม มีปัญหาที่ต้องผูกต้องแก้ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะกฎหมายและมาตรการต่างๆ ที่จะใช้ควบคุมกัญชายังไม่มีโดยตรง ยังมีข้อสงสัยกังขาอีกมาก ที่ต้องศึกษา ทำความเข้าใจไปทีละน้อย เพราะ เส้นทางการปลดล็อกกัญชายังต้องรอไปอีก

กฎหมายกัญชาและพืชกระท่อม เป็นพืชพื้นบ้านเหมือนกัน

“กัญชา” (Cannabis) เป็นพืชในสกุล Cannabis วัตถุหรือสารที่อยู่ในพืชกัญชา เช่น ยาง น้ำมัน ยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตาม มาตรา 29 (5) แห่ง ประมวลกฎหมายยาเสพติด อยู่เช่นเดิม “กัญชง” (Hemp) เป็นพืชที่ใช้เส้นใยในการทอผ้า พืชที่ให้เส้นใยยาว (Fiber Crop) โดยเส้นใยส่วนเปลือกต้นใกล้เคียงกับลินิน สวยงาม ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ชาวม้งจะทำผ้าทอกัญชงมานานแล้ว และมักจะปลูกไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เส้นใยทอผ้า แต่ฝ่ายปกครองและตำรวจถือว่าเป็นยาเสพติดเพราะกัญชงก็คือพืชเสพติด (Drugs) ซึ่งไม่ถูกต้องนัก ผลก็คือทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวม้งถูกจับกุม ข้อหาครอบครองยาเสพติด และต้นกัญชงที่ปลูกไว้ถูกยึดทำลาย ส่วนคำว่า “Marijuana” หมายถึงกัญชาที่อยู่ในรูปที่สำหรับพร้อมใช้สูบ และอาจรู้จักกันในหลายชื่อเช่น pot, weed, harsh หรือชื่อเป็นทางการ คือ “Cannabis” สมัยสงครามเวียดนามยุค 70 กัญชาไทยโด่งดังมาก ที่ทหารอเมริกันและคนอเมริกัน หรือคนตะวันตกนิยมชมชอบมาก เรียก “Thai Stick” ซึ่งเป็นกัญชาไทยชั้นดี และดีกว่ากัญชาสายพันธุ์ต่างประเทศอื่นๆ แต่ในประเทศไทยกัญชากลับเป็น “สิ่งเสพติด”

แต่เดิมนั้นมีร่างกฎหมายกัญชาและพืชกระท่อม เป็นฉบับเดียวกัน ด้วยมีจุดร่วม จุดเหมือนกันหลายประการ เป็นพืชพื้นบ้าน ภูมิปัญญาพื้นถิ่นของคนไทยมานานแล้ว ว่ากันว่าเป็น “Soft Power” ด้วย กัญชาเป็น “พืชผิดกฎหมายใต้ดิน” ของคนไทย คนพื้นบ้าน คนชาติพันธุ์มาช้านาน ที่คนพื้นถิ่นชาวบ้านรู้จักดีในสรรพคุณ ทั้งการใช้ทางยา การสันทนาการ การผสมอาหาร และใช้เส้นใยจากต้นกัญชง เป็นต้น สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับกัญชามาก่อน จะสับสนในต้นกัญชา เพราะมีการแยกต้นกัญชาออกเป็น 2 ชนิด ที่แตกต่างกันมาก แม้จะมีลักษณะทางกายภาพที่คล้ายกัน เหมือนกันก็ตาม แต่สารเสพติด และอรรถประโยชน์ที่ได้จากต้นกัญชาจะต่างกัน

ครั้นมีการตรากฎหมายในภายหลัง ปรากฏว่ามีการแยกกันเป็น 2 ฉบับ คือ (1) ร่างกฎหมายพืชกระท่อม ซึ่งต่อมาได้ตราเป็นกฎหมาย “พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.2565” ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2565 และ (2) ร่างกฎหมายกัญชากัญชง แต่ปรากฏว่า “ร่าง พ.ร.บ.กัญชากัญชง พ.ศ. ...” กลับถูกถอนร่างออกจากระเบียบวาระที่ 2 ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565 ทำให้ต้องกลับมาทบทวน และเริ่มต้นตรากฎหมายกัญชากันใหม่ เพื่อให้มีความรอบคอบ ครอบคลุม รัดกุมมากขึ้น

ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป กัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติดอีกต่อไป คือ (1) ต้น ใบ ดอก ฯลฯ เป็นชิ้นส่วนที่เป็นทั้งต้น ตั้งแต่ราก ลำต้น ถึงใบ ดอก ทุกปริมาณน้ำหนักหรือทุกจำนวนต้น และ (2) สารสกัดฯ คือไม่ใช่ตัวดังเดิม ไม่ใช่ตัวเริ่มแรก แต่เป็นตัวต่อมาที่สกัดแยกสารได้แล้ว สารสกัด THC (Tetrahydrocannabinol) ไม่เกิน 0.2% ที่มีฤทธิ์ทำให้มึนเมา พิจารณาจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ข้อ 1 กล่าวคือต้องเป็น “สารสกัด” THC เกิน 0.2%

ความหวังกัญชาสู่พืชเศรษฐกิจหมื่นล้าน

ด้วยความห่วงใยในธุรกิจอุตสาหกรรมพืชกัญชามีการศึกษาวิเคราะห์ (อ้างจาก The Active, 2565) ในประโยชน์ที่จะได้รับของชาวบ้าน วิสาหกิจชุมชน หรือบริษัทนายทุน มีข้อมูลระบุว่าปี 2564 พบคนไทยอายุ 18-25 ปี ใช้กัญชาที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ จำนวน 1.89 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2 เท่า จากปี 2563 หลังกระทรวงสาธารณสุขเปิดให้ใช้บางส่วนของกัญชา และเริ่มมีร้านค้าขายกัญชาเป็นเรื่องปกติ แบ่งธุรกิจออกเป็น 3 ช่วง คือ (1) ต้นน้ำ เกษตรกรผู้ปลูกกัญชาจากไร่ (2) กลางน้ำ คือโรงงานสกัด และ (3) ปลายน้ำ คือผู้นำสารสกัดกัญชามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์

ธุรกิจต้นน้ำ ตัวอย่าง วิสาหกิจ​ชุมชน​เกษตรอินทรีย์​ บ้านสหกรณ์ จ.เชียงใหม่ การจะปลูกกัญชาให้ได้คุณภาพมีต้นทุนค่อนข้างสูง สองแสนบาทคือมูลค่าที่ต้องลงทุนเริ่มต้นกับการปลูกสร้างโรงเรือนกัญชา 1 โรงต่อ 50 ต้น เพราะว่ากัญชาเป็นพืชที่ดูดซับสารเคมีและสารโลหะหนักจากดินได้ดี ดังนั้น กระบวนการปลูกจึงต้องพิถีพิถันให้ปลอดสารพิษและควบคุมสารโลหะหนัก จึงจะมีคุณภาพมากพอที่จะส่งต่อ โดยเฉพาะส่วนดอก ที่จะส่งให้กรมแพทย์แผนไทย นำไปสกัดสาร CBD (Cannabidiol) ตามร่างกฎหมายกัญชา ปลูกแบบครัวเรือน หรือแพทย์แผนไทย ให้จดแจ้งภายในจังหวัด ส่วนการปลูกเชิงอุตสาหกรรม ให้ขอใบอนุญาต มีอายุ 3 ปี จ่ายค่าธรรมเนียม 50,000 บาท

ธุรกิจกลางน้ำ ตัวอย่าง บริษัท ซาลัส ไบโอซูติคอล (ประเทศไทย) จำกัด จ.เชียงใหม่ โรงงานสกัดกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกำลังการผลิตรองรับดอกกัญชา 200 ไร่ต่อปี โรงงานสกัดมีบทบาทคล้ายพ่อค้าคนกลาง มีอำนาจในการกำหนดราคา มีโครงการจะส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกกัญชาในรูปแบบเกษตรพันธสัญญา หรือ Contract Farming คาดว่าหลังการประกาศใช้กฎหมายกัญชาไป 1 ปี อาจเกิดภาวะกัญชาล้นตลาด คือปลูกจนเกินความต้องการภายในประเทศ และต้องหาทางส่งออก ตามร่างกฎหมายกัญชา แปรรูปสกัดสาร THC, CBD ให้ขอใบอนุญาต มีอายุ 3 ปี จ่ายค่าธรรมเนียม 50,000 บาท

ธุรกิจปลายน้ำ ตัวอย่าง ผู้ผลิตร้านสมุนไพรคาเฟ่ จ.เชียงใหม่ กลุ่มสตาร์อัพรายย่อย มองว่าการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด จะเป็นก้าวแรก ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีทางเลือก หยิบกัญชาขึ้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ได้มีเพียงเครื่องดื่ม แต่ยังมีผลิตภัณฑ์และอาหารอื่นๆ ที่มีส่วนผสมของกัญชา เช่น คุกกี้กัญชา ไส้อั่วกัญชา เป็นต้น โดยหลังจากเปิดร้านมาได้ 6 เดือน มีแนวโน้มยอดขายเพิ่มขึ้น ตามร่างกฎหมายกัญชา ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากกัญชา ให้ขึ้นทะเบียนคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ส่งเสริมให้เกษตรกรเข้มแข็ง ตัดตอนการผูกขาด

อย. ได้คาดการณ์มูลค่าทางเศรษฐกิจ การปลูกพืชกัญชา จากการเก็บข้อมูลเมื่อปี 2564 มูลค่า 600 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าอีก 5 ปี ต้องมาในปี 2569 มูลค่าจากอุตสาหกรรมกัญชาจะสูงถึง 15,770 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 126% ปัจจุบันมีความพยายามกำหนดราคากลางของกัญชา นี่คือราคาในช่วงกัญชายังเป็นยาเสพติด ดอกกัญชาแห้งอัดแท่ง กิโลกรัมละ 10,000 – 20,000 บาท ใบกัญชาสด กิโลกรัมละ 5,900 บาท ใบกัญชาแห้ง 100 กรัม 2,200 บาท รากกัญชา 100 กรัม 2,000 บาท 

การศึกษารายงานการวิจัยเกี่ยวกับกัญชา

ในระยะย้อนหลังไปไม่เกิน 5-6 ปีที่ผ่านมา ด้วยความคาดหวังว่าจะปลดล็อกกัญชาออกจากพืชเสพติดมานานแล้ว แต่ด้วยเป็นพืชเสพติด ทำให้กัญชาเป็น “สินค้าใต้ดิน” ไม่เปิดโอกาสให้ถูกกฎหมายได้เลย ไม่ว่ากรณีใดๆ มีการศึกษารายงานการวิจัยเกี่ยวกับกัญชา ช่วงปี 2561-2564 ที่น่าสนใจ ขอยกตัวอย่างผลการศึกษา 5 เรื่อง ได้แก่

(1) ประโยชน์และโทษที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้กัญชา โดย นพ.ระพีพงศ์ สุพรรณไชยมาตย์ และ โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ (2561) ศึกษาทบทวนวรรณกรรมจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์พบว่า งานวิจัยที่เกี่ยวกับกัญชาส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยในห้องปฏิบัติการหรือทำในสัตว์ทดลอง หากเป็นงานวิจัยในมนุษย์ก็มักเป็นงานวิจัยขนาดเล็กและมักเป็นการเปรียบเทียบผลการ รักษาด้วยกัญชากับยาหลอก การเปิดกว้างต่อการใช้กัญชาในต่างประเทศมีหลายระดับ ตั้งแต่อนุญาตให้ใช้ยาที่ผลิตจากสาร สกัดจากกัญชาเพื่อเป็นยาเสริม หรือใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาปกติ บางประเทศอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการผ่อนคลาย บางประเทศลดโทษทางอาญาในการเสพและถือครอง

(2) ปัญหากฎหมายการเปิดเสรีกัญชาของประเทศไทยเปรียบเทียบญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โดย ศิวัช นุกูลกิจ (2563) ศึกษาเปรียบเทียบปัญหากฎหมายการเปิดเสรีกัญชาของประเทศไทยในการนันทนาการ ผลกระทบจากการเปิดเสรีกัญชา และมาตรการทางกฎหมายในการเปิดเสรีกัญชา ผลการวิจัยพบว่า (2.1) การเปิดเสรีกัญชาในการนันทนาการเกิดจากผู้เสพมีปัญหาส่วนตัว ครอบครัว เศรษฐกิจ (2.2) ผลกระทบจากการเปิดเสรีกัญชานันทนาการ จะมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ผู้เสพจะก่อให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ ในญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร ไม่อนุญาตให้เปิดเสรีกัญชาในการนันทนาการ (2.3) มาตรการทางกฎหมายในการเปิดเสรีกัญชาในประเทศไทย ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร ไม่อนุญาตให้มีการเปิดเสรีกัญชาในด้านนันทนาการ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลกระทบในสังคม แต่อนุญาตให้เปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์ หรืองานวิจัย เป็นต้น ส่วนในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลกลางจะอนุญาตให้เปิดเสรีกัญชา เพื่อใช้ในทางการแพทย์ การศึกษา วิจัย เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด แต่มีบางรัฐฝ่าฝืนกฎหมายของรัฐบาลกลาง โดยเปิดเสรีกัญชาในการนันทนาการได้

(3) ปัญหาการพัฒนากฎหมายยาเสพติด: ศึกษากรณีการเปิดเสรี โดย อัครพนธ์ เอี้ยวรัตนวดี (2563) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของกฎหมายยาเสพติดต่อการพัฒนาการเปิดเสรีกัญชา ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า กัญชาถูกจัดเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่จากกระแสการปฏิรูปของนโยบายยาเสพติดในระดับนานาชาติ จึงมีความเป็นไปได้ต่อการพัฒนา เพื่อเปิดเสรีกัญชาหรือเพื่อสันทนาการ แต่ทั้งนี้ ในประเทศไทยนั้น ปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนาการเปิด เสรีกัญชานั้นคือ ผลจากข้อตกลงที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกภาคีในระดับนานาชาติ ประกอบกับบทบัญญัติของ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการพัฒนาเสรีกัญชา ได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าในการพัฒนานโยบายด้านการเปิดเสรีกัญชานั้นสามารถทำได้ในส่วนของการแก้ไขและปฏิรูปกฎหมายยาเสพติดภายในประเทศ และเจรจาต่อรองกับองค์การสหประชาชาติ โดยส่งผลดี ต่อนโยบายยาเสพติดของประเทศไทย  

(4) รายงานวิจัยฉบับ มายาคติกัญชา การสื่อสาร ความรู้ และความเชื่อของสังคมไทย: กรณีศึกษาผู้ใช้และผู้เกี่ยวข้องในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดย ฟารีดา เจะเอาะ และ อัตนันท์ เตโชพิศาลวงศ์ (2564) ศึกษาแบ่ง 2 กลุ่มใหญ่ คือ (1) กลุ่มผู้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ ผ่อนคลาย และผู้ใช้กัญชาเพื่อบำบัด รักษา และ (2) กลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับกัญชาในมิติสุขภาพ และผู้เกี่ยวข้องกับกัญชาในมิติสังคม วัฒนธรรม พบว่า ผู้ใช้กัญชาส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่ อายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ใช้กัญชาในรูปแบบการสูบ รองลงมาคือการรับประทานหรือดื่ม หยดน้ำมันกัญชาที่ใต้ลิ้น และการสูดดมตามลำดับ โดยผู้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ ผ่อนคลาย มีประสบการณ์การใช้กัญชา 10-30 ปี ส่วนผู้ใช้กัญชาเพื่อบำบัด รักษา มีประสบการณ์การใช้กัญชา 1-7 ปี และมีโรคหรืออาการป่วยที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี THC เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ โรคจิตเภทหรืออารมณ์แปรปรวนจำนวน 4 คน มีเพียง 1 ใน 4 เป็นผู้ที่ขอขึ้นทะเบียนการใช้กัญชาเพื่อการรักษา ส่วนกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับกัญชาทั้งมิติสังคม และมิติสุขภาพส่วนใหญ่ไม่ได้มีประสบการณ์ตรงในการใช้กัญชา แต่มีความเกี่ยวข้องกับกัญชาในบทบาทหน้าที่ เช่น การป้องกัน การปราบปราม การกำกับนโยบาย การปรุงยา การรักษา เป็นต้น นอกจากนี้ ผลการศึกษาพบว่า กัญชาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่คุ้นเคยและผูกพันของผู้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ ผ่อนคลาย เป็นความหวังและความเชื่อว่าจะทำให้อาการป่วยของตนเองดีขึ้นในมุมมองของผู้ใช้เพื่อบำบัด รักษา โดยมีสถาบันครอบครัวเป็นพื้นฐานในการสร้างความชอบธรรมการใช้กัญชาในบ้านหรือในครัวและสถาบันทางวัฒนธรรมเป็นกลไกในการสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการใช้กัญชาผ่านในร้านน้ำ และในงานพิธีต่างๆ เช่น งานศพ

(5) นโยบายกัญชาเสรีในฐานะพืชทางการแพทย์ (Free cannabis as a medical plant) โดย พัฒณปกรณ์ ดอนตุ้มไพร, พิพัฒน์ พันมา, มัณฑนา หน่อแก้ว และ โชติ บดีรัฐ (2564) เป็นนโยบายการหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการผลักดันให้กัญชาเป็นพืชทางการแพทย์ ที่ต้องการให้รัฐบาลส่งเสริมให้เกิดการปลูกกัญชาได้อย่างเสรี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจำหน่ายเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตยารักษาโรค หรือเพื่อการรักษาทางการแพทย์ และอันจะก่อให้เกิดรายได้แก่เกษตรกรเพิ่มขึ้นมหาศาล ก่อให้เกิดกระแสสนับสนุนและความตื่นตัวในการศึกษากัญชาจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งกัญชาเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ที่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนทั้งแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามก็มีผลกระทบหลายด้าน ดังนั้นบทความนี้จึงมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาเกี่ยวกับความหมาย ความสำคัญของนโยบายกัญชาเสรี ในฐานะพืชทางการแพทย์ และผลกระทบของนโยบายกัญชาเสรีในฐานะพืชทางการแพทย์

ภาพแห่งความคาดหวังของเหล่าผู้สานฝันให้เป็นจริงในเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู อุดมสมบูรณ์ รายได้งาม ลอยอยู่เบื้องหน้า โดยยกประเด็นเพื่อการแพทย์เป็นหลักตามแนวทางของประเทศอารยสากล แต่ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายที่ไม่พิสมัยกับนโยบายนี้ โดยเฉพาะกลุ่มแพทย์ได้ออกมาท้วงติงและขอให้รัฐชัตดาวน์กัญชาให้กลับไปสู่ “พืชเสพติดเหมือนเดิม” ยังเป็นความหวังในสองด้านทั้งด้านลบและด้านบวก และแน่นอนว่าคำทักท้วงให้ควบคุมด้วยมาตรการที่เข้มงวด รอบคอบ รัดกุม ครอบคลุม เป็นสิ่งจำเป็นมาก นี่คือข้อกังขาที่ติดขัด