วันที่ 13 ต.ค.65 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ในงานพิธีเปิดอนุสรณ์สถาน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ผู้ก่อตั้งพรรคและหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา และพิธีเปิดป้ายสำนักงานใหญ่ พรรคชาติพัฒนากล้า จังหวัดนครราชสีมา ว่าผลงานที่สําคัญ ของพล.อ.ชาติชาย ที่สร้างไว้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ที่ทําให้ประเทศชาติมีสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่มีความมั่นคง โดยเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.18 เป็นอีกวันหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางการทูตรัฐมนตรีต่างประเทศ พล.ต.ชาติชาย เดินทางไปประเทศจีนกับ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน แล้ววันรุ่งขึ้น 1 ก.ค.2518 ก็ได้มีการลงนาม โดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ กับพล.อ.ชาติชาย ในการเปิดสัมพันธ์ทางการทูต ปี 2518 มาถึงวันนี้ก็ประมาณ 47 ปีแล้ว ที่ทําให้พื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนแนบแน่นแล้วก็มีมิตร มีไมตรี ที่ดีต่อกันจนกระทั่งในยุคเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจที่นักท่องเที่ยวจีนมาเมืองไทยกันเยอะมากก็เพราะความสัมพันธ์ความผูกพันที่ได้ถูกวางพื้นฐานไว้ตั้งแต่ปี 2518
นายสุวัจน์ กล่าวว่า นี่คือผลงานที่ตนคิดว่าเป็นพื้นฐานที่สําคัญในการใช้การทูตของท่านพล.อ.ชาติชาย ในขณะที่ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ แล้วหลังจากนั้น ก่อนท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ในสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แล้วช่วงที่ท่านเป็นนายกฯ ประเทศไทยก็เจอความโชติช่วงชัชวาลในอ่าวไทย เจอแก๊สธรรมชาติ วันที่ท่านรัฐบุรุษเปรม หมุนวาล์วแก๊สแล้วมี เปลวไฟขึ้นมาเมืองไทยโชติช่วงชัชวาล หลังจากนั้นจึงเป็นที่มาของการวางท่อแก๊สในอ่าวไทยแล้วย้ายขึ้นมาบนบก แล้วก็มีโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเกิดขึ้นในสมัยที่ท่านพล.อ.ชาติชาย เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมในรัฐบาลพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ฉะนั้น ท่านชาติชาย ไม่ได้มีคุณูปการต่อประเทศในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ท่านได้สะสมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ เตรียมความพร้อมไว้
“ผมใช้คําว่าท่านเป็นนายกฯ ที่สมบูรณ์ครบถ้วน Perfect ท่านอยู่กับคุณพ่อท่านจอมพลผิน ชุณหะวัณ ท่านได้เรียนรู้เรื่องการเมืองมาตลอด ท่านเป็นนักการทหาร เป็นทหารม้า ก็เข้าใจเรื่องความมั่นคงของชาติ ท่านเป็นทูตสามประเทศ เป็นทูตอาเจนติน่า เป็นทูตออสเตรีย และทูตประจําเจนีวา ท่านก็เข้าใจเรื่องต่างประเทศ พอท่านมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านก็มีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์ เรื่องการต่างประเทศ
พอท่านเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ท่านก็มีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์เรื่องอุตสาหกรรม พอวันที่ท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี หมายความว่าประสบการณ์ทุกอย่างที่อยู่ในตัวท่านอยู่ในความคิดอยู่ในวิสัยทัศน์ของท่านมารวมพร้อมกันเลย โดยเฉพาะบุคลิกส่วนตัว ความทันสมัย Life Style เข้าถึงง่าย ติดดิน เข้าได้กับทุกฝ่าย จึงเป็นองค์ประกอบที่ทําให้พล.อ.ชาติชาย ประสบความสําเร็จ ในการเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 17”
นายสุวัจน์ กล่าวว่า ความสำเร็จของท่านพล.อ.ชาติชาย ท่านเป็นนายกฯ ท่านก็เอาเรื่องนโยบายการทูตมาว่าก่อน นําไปสู่เศรษฐกิจ ก็คือ แปลงสนามรบเป็นสนามการค้า วันนั้นรอบบ้านเรา อินโดจีนเกิดการต่อสู้เกิดความขัดแย้ง ท่านชาติชายเป็นนักเจรจา และท่านไม่ขัดแย้งกับใคร ท่านบอกพวกเราว่า ถ้ารอบบ้านยังขัดแย้ง รอบบ้านทะเลาะกัน ใครจะมาลงทุนที่ประเทศไทย นั่นคือ นโยบาย แปรสนามรบเป็นสนามการค้า จากนั้นท่านก็ไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เอาสันติสุขกลับคืนสู่อินโดจีน พลิกแผ่นดินอีสาน ประกาศให้โคราชเป็นประตูสู่อีสาน อีสานเป็นประตูสู่อินโดจีน
“ท่านผลักดันนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะการสร้างโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก หรือ Eastern Seaboard จนทําให้เป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อน GDP ของประเทศ เจริญเติบโตเกิดขึ้นจากภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ที่เกิดจากแก๊สอ่าวไทย โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก จนทําให้ยุคท่านชาติชาย เป็นนายกฯ อยู่สามปี GDP คือรายได้ของประเทศ ผลผลิตของประเทศเติบโตเกินกว่าร้อยละ 10 สามปีซ้อน เรียกว่า แฮตทริก เหมือนนักฟุตบอล ยิงสามลูกก็คือ แฮตทริก ท่านทําให้เมืองไทย มีเศรษฐกิจโตมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ สามปีซ้อน เอเชียบอกว่า ประเทศไทย คือ เสือตัวที่ห้า แห่งเอเชีย”
นายสุวัจน์ เล่าว่าถ้าย้อนไปดูการเมืองในอดีต จะย้อนดูการเมืองในปัจจุบัน ในสมัยท่านพล.อ.ชาติชาย เป็นนายกฯ นอกจากจะประสบความสําเร็จในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจแล้ว บ้านเมืองเรียบร้อย การเมืองเรียบร้อย การเมืองไม่ขัดแย้ง ท่านชาติชายเป็นนายกฯที่เข้าได้อย่างทุกฝ่าย ประนีประนอม ตนยืนยันได้ว่า ท่านชาติชาย ไม่มีศัตรู นอกจากไม่มีศัตรูแล้ว ท่านนิยมเอาฝั่งตรงข้าม หรือเอาศัตรูมาเป็นพวกด้วย
ตอนที่ท่านชาติชาย เป็นนายกฯ วันที่ 24 ก.ค. ในเลือกตั้ง ผมอยู่พรรคปวงชนชาวไทยแข่งกับท่านในสนามเลือกตั้ง เพราะอยู่กันคนละพรรค ท่านดํารงตําแหน่งนายกฯ แล้วพรรคปวงชนชาวไทยของพล.อ.อาทิตย์ เป็นฝ่ายค้านก็เป็นรัฐบาลมาได้ปีกว่า มีอยู่วันหนึ่งก็มีประกาศพระบรมราชโองการ ให้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยคมนาคม ซึ่งตอนนั้นตนไม่ทราบเลย ก็เดินทางไปบ้านท่านพล.อ.อาทิตย์ บอกว่า คนที่ให้คุณเป็นรัฐมนตรี คือ ท่านพล.อ.ชาติชาย แล้วตนก็ไปพบท่านพล.อ.ชาติชาย และกราบขอบพระคุณท่าน
“ท่านพลเอกชาติชาย พูดกับผมและผมจำได้เสมอ ท่านบอกว่าบ้านเมืองนี้ ต้องมีคนรุ่นที่ 2 ตอนนี้ผมอายุตั้ง 70 ปีแล้ว การเมือง บ้านเมืองต้องเตรียมคนรุ่นที่ 2 และบอกผมว่า คุณ คือ คนรุ่นที่ 2 และท่านพูดกับผม ประโยคหนึ่ง ซึ่งผมถือว่าเป็นประโยคอมตะ ท่านพูดว่า สุวัจน์ก่อนเลือกตั้ง เขาเรียกว่า การเมือง แต่หลังเลือกตั้งแล้ว บ้านเมืองมาก่อน การเมืองไว้ที่หลัง ฉะนั้น ผมก็เลยบอกกับพลเอกอาทิตย์ ต้องการให้คุณมาช่วยทํางานให้กับประเทศชาติ เป็นคนรุ่นที่สอง นี้คือ สิ่งที่ผมต้องการจะบอกกับพี่น้องประชาชน ว่าในช่วงที่พลเอกชาติชาย ดํารงตําแหน่งนายก การเมืองเรียบร้อย การเมืองไม่ขัดแย้ง ด้วยบุคลิกภาพส่วนตัวของท่าน ที่เข้าได้กับทุกฝ่าย ทําให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่สมบูรณ์แบบ บ้านเมืองเรียบร้อย เศรษฐกิจก็ดีเป็นอย่างยิ่ง”
นอกจาก ผลงานที่ท่านทําให้ประเทศชาติแล้ว ผลงานท่านชาติชาย มอบให้ชาวโคราช แล้วยังอยู่ในความทรงจํามาจนกระทั่งทุกวันนี้ มี 7 ผลงาน คือ 1.สร้างถนน 4 เลน สายสระบุรี โคราช เรียกว่ามิตรภาพ เป็นถนน 4 เลนเส้นแรกในประเทศไทย 2.เขตอุตสาหกรรมสุรนารี 3.สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 4.โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า 5.โรงละครแห่งชาติภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และสวนสัตว์นครราชสีมา
ฉะนั้น พื้นฐานทั้งเจ็ดอย่างที่ท่านพล.อ.ชาติชาย สร้างเอาไว้ให้คนโคราชแล้ววันนี้ก็ยังอยู่ยังใช้งานยังอยู่ในความทรงจํา และก็เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเมืองโคราช จนกระทั่งวันนี้ ผมเปรียบเหมือนท่านพล.อ.ชาติชาย เป็นสถาปนิกใหญ่ของเมืองที่วาง Master Plan วางผังเมือง เอาไว้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนอยู่กันอย่างมีความสุข
นายสุวัจน์ กล่าวว่า วันเกิดท่านชาติชายเมื่อ 4 เม.ย. 2641 ปีนั้นมีภาพยนต์ James Bond เข้าฉายชื่อว่า “Tomorrow Never Dies 007 พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย”เราก็นำมาเป็นตรีมจัดงานวันเกิดท่านบนเวทีท่านบอก ว่า“Tomorrow”แปลว่า “พยัคฆ์ร้ายเหรอ”ท่านบอกว่า “ผมจะไม่มีวันตายไปจากความทรงจำของคนโคราช ผมจะอยู่กับชาวโคราชตลอดไป” นี่คือ ประโยคอมตะ ที่พลเอกชาติชาย พูดในวันนั้น และก็เป็นประโยคสุดท้ายที่พล.อ.ชาติชาย ได้พูดกับคนโคราช
“วันนั้น ผมอยู่กับท่านจนถึงเที่ยงคืน และผมไม่คิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่กับท่านพลเอกชาติชาย และก่อนที่ผมจะออกจากบ้านท่าน เรียกผมไปสั่งว่าผมป่วยหนักต้องไปผ่าตัดที่ประเทศอังกฤษ แต่ผมมาที่นี่เพราะผูกพันกับชาวโคราช คุณไม่ต้องห่วง แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผม แล้วผมไม่ได้กลับเมืองไทย ผมฝากคุณไว้สองเรื่อง คือ 1.ผมเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ถ้าผมเป็นอะไรไปให้คุณกร ทัพพะรังสี เป็นหัวหน้าพรรรค กร เป็นหลานผม 2.ผมตั้งพรรคชาติพัฒนากับชาวโคราช ถ้าผมไม่อยู่คุณมีหน้าที่ดูแลพรรคชาติพัฒนาให้ชาวโคราช
พลเอกชาติชาย ได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 ณ โรงพยาบาลคอมเวลล์ ประเทศอังกฤษ จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมก็ยังเป็นประธานพรรคชาติพัฒนาอยู่เพราะสิ่งที่พลเอกชาติชายสั่ง นี่คือความเป็นมาของพรรคชาติพัฒนา”
นายสุวัจน์ บอกว่า อนุสรณ์สถานพลเอกชาติชาย พร้อมด้วยรถจักรยานยนต์คันโปรด “Honda Rebel” ถ้าไม่มีจักรยานคันนี้ก็ไม่มีพรรคชาติพัฒนา คือ เมื่อท่านถูกรัฐประหาร ปี 2534 ท่านเดินทางไปประเทศอังกฤษเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย และท่านก็ถูกยึดทรัพย์ เมื่อท่านเดินทางกลับมาประเทศไทยก็มุ่งหน้ามากราบย่าโม ชาวโคราชมาต้อนรับท่านอย่างมหาศาลและบริจาคเงินกันซื้อรถจักรยานยนต์คันนี้ให้ท่าน
"บุคลิกของท่านคือ ใส่เสื้อหนัง กางเกงยีน ผ้าขาวม้าคาดเอว ขับชอปเปอร เป็นบุคลิกง่ายๆ ของท่านที่อยู่กับพี่น้องประชาชน ท่านถ่ายรูปกับรถคันนี้ และเขียนว่า “รถคันนี้ คนโคราชให้มา ผมรำลึกถึงเสมอผมและคณะจะกลับมารับใช้ชาวโคราชอีกครั้ง ผมจะ Comeback อีกครั้ง"
นายสุวัจน์ กล่าวต่อว่า พอท่านกลับมากรุงเทพฯ ก็เชิญ คุณกร และโทรหาพล.อ.อาทิตย์ บอกว่า เรามาตั้งพรรคการเมืองกัน แล็วก็หยิบกระดาษเขียนว่า “ชาติพัฒนา” นี่คือ ประวัติพรรคชาติพัฒนา นี่คือ ที่มาของคำว่า “โคราชชาติพัฒนา”& “พรรคชาติพัฒนาเป็นของคนโคราช” เชื่อว่าพี่น้องประชาชนทุกคนผูกพันกับท่านชาติชาย รำลึกถึงคุณงามความดี และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนชาวโคราช แหละนี่คือ ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่คนโคราชทำเพื่อรำลึกถึงพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ