พิษ"น้ำท่วม"! ทำ"เศรษฐกิจ"พัง 1.2-2 หมื่นล้าน ฉุด"จีดีพี"ร่วง 0.15% ด้าน ส.อ.ท.จี้รัฐบาลเร่งเยียวยา ปชช.-ธุรกิจ
เมื่อวันที่ 12 ต.ค.65 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยว่า ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดของประเทศ โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบราว 12,000-20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่เคยประเมินไว้ที่ 5,000 - 10,000 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมได้ขยายวงกว้างมาก และเข้าในพื้นที่อุตสาหกรรม และท่องเที่ยวที่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าในช่วงแรก
"ผลกระทบจากน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ประเมินว่าจะสร้างความเสียหายประมาณ 12,000-20,000 ล้านบาท แยกเป็นภาคการเกษตร 6,000-8,000 ล้านบาท ภาคอุตสาหกรรม 6,000-12,000 ล้านบาท ซึ่งผลกระทบจากน้ำท่วมมีน้อย เนื่องจากความเสียหายกระทบเพียงในพื้นที่พืชไร ไม่ได้กระทบต่อปศุสัตว์มาก โดยภาพรวมความเสียหายจะกระทบจีดีพีเพียง 1-1.5% เท่านั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบภาพรวมการฟื้นตัวเศรษฐกิจ เรายังคาดว่าปีนี้จะโตได้ในกรอบเดิม คือ 3.0-3.5%"
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อคมนาคมและขนส่งสินค้า ด้านการส่งออกอุปสงค์ในตลาดโลกเริ่มชะลอลง เนื่อง จากปัญหาเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยการสำรวจผู้ประกอบการ 1,274 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนกันยายน 2565 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 77.4 สถานการณ์การเมือง ร้อยละ 45.5 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 37.8 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 60.3 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 42.5 อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 35.8 และสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 34.2 ตามลำดับ จึงมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ คือ1.มาตรการบรรเทาผลกระทบปัญหาด้านต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบ การ อาทิ การดูแลราคาพลังงาน ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ตลอดจนเร่งแก้ไขปัญหาราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นและการขาดแคลนวัตถุดิบ 2.มาตรการดูแลและเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย อาทิ โครงการพักชำระหนี้กับสถาบันทางการเงินต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อการฟื้นฟูกิจการหลังน้ำท่วม 3.ดูแลค่าเงินบาทให้มีความสมดุลมากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออก 4.ออกมาตรการรณรงค์ประหยัดการใช้ไฟฟ้าและพลังงาน อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม และ5.เร่งยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (Competitiveness) เช่น การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Guillotine) การปรับปรุงขั้นตอนการอนุมัติอนุญาตของราชการ การนำระบบ Digital มาใช้ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นต้น