ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“เมื่อกาลเวลาของโลกผ่านมาถึงวันนี้ เราอาจจะมองเห็นความเป็นไปที่เด่นชัดว่าแผ่นดินเกือบทุกแผ่นดินทั่วทั้งโลก กำลังเดินทางไปสู่อนาคต ด้วยวิถีชีวิตที่ถูกครอบงำและรุกราน อย่างน่าสะพรึงกลัวของวัฒนธรรมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีโครงสร้างของสังคมชีวิตแต่ครั้งอดีต ค่อยถูกผลักดันให้ลบเลือนหายไปจากเส้นทางแห่งความทรงจำของมวลมนุษย์ สิ่งใหม่ๆอันเป็นเนื้อหาของวัฒนธรรมที่ถือเป็นตัวแทนแห่งยุคสมัย และความหมายของอนาคต...ถูกตีค่าว่าเป็น “ของวิเศษ” ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่เชื่อว่าเป็นรากฐานของการพัฒนาและบ่งชี้ถึงสถานะแห่งอนาคตได้อย่างชัดเจนและแท้จริง...
หากแต่เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาดูวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ เราอาจแบ่งสังคมที่เกิดขึ้นและผ่านมาได้เป็น 3 ประเภท...นั่นคือ สังคมบุพกาล (Primitive Society) สังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society) และสังคมแห่งยุคอุตสาหกรรม(Industrial Society)...
ในสังคมแต่ละประเภท...ต่างก็มีภาพลักษณ์เฉพาะในช่วงของค่านิยม ตลอดจนแบบแผนทางพฤติกรรมของสังคมนั้นมีรากเหง้าในการจัดการและดำเนินความคิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...”
รูปรอยแห่งความคิดดังกล่าวนั้นตีความออกมาจากหนังสือแห่งคุณค่าต่อชีวิตและสังคม.. “อนาคตอันเก่าแก่” (Acient Future)..บทเรียนจากวิถีธรรมชาติแห่งดินแดนธิเบตน้อย...งานเขียนของ “เฮเลนา นอร์เบอร์ก – ฮอดซ์” ผลงานแปลของนักคิดนักเขียนเชิงจิตวิญญาณคนสำคัญ “พจนา จันทรสันติ”...
ทั้งหมดของสาระเนื้อหา...คือผลรวมของการศึกษาย้อนอดีตตามวิถีแห่งธรรมชาติ และสังคมชีวิต ที่ยังอยู่ในรูปลักษณ์ของอดีตอันสมบูรณ์ ปลอดพ้นจากการรุกรานของวัฒนธรรมอุตสาหกรรม โดยผู้เขียนซึ่งเดินทางมาจากโลกแห่งสังคมอุตสาหกรรม มีประสบการณ์ร่วมกับสังคมอุตสาหกรรมในทุกๆแง่ทุกมุม
เธอได้ใช้เวลากว่า 16 ปี ศึกษาวิถีแห่งธรรมชาติเป็นบทเรียนของชีวิต ทั้งของตนเอง และของสังคมโลกที่เมือง “ลาดัก”(Ladakh) ประเทศธิเบต อันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของดินแดน “จัมมูและแคชเมียร์” ซึ่งเป็นแว่นแคว้นดั้งเดิมของอินเดีย....
“เฮเลนนา”...ได้เริ่มต้นการเขียนในบทเรียนแห่งชีวิตของเธอด้วยคำถามที่ว่า...
“เหตุใดโลกจึงต้องโซซัดโซเซไปเพื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า มันเป็นมาเยี่ยงนี้เสมอหรือไร?...และที่ผ่านมาในอดีตนั้นเลวร้ายกว่าปัจจุบัน หรือว่าสว่างไสวเต็มไปด้วยความหวังกว่า..?.”
...จากประสบการณ์กว่า 16 ปีใน “ลาดัก”..ซึ่งสืบเชื้อสายวัฒนธรรมโบราณแห่งที่ราบสูงธิเบต...ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงแง่มุมในการมองประเด็นปัญหาของเธออย่างใหญ่หลวง.. “มันช่วยทำให้ข้าพเจ้า เริ่มมองดูวัฒนธรรมแบบอุตสาหกรรมของตนเอง ด้วยแสงสว่างอย่างใหม่” แต่เดิม...วิถีชีวิตของ”เฮเลนา”ก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยของสังคมอื่นๆ...เพราะก่อนที่เธอจะไปยังลาดักนั้น เธอมักนึกสรุปอยู่ในใจว่า...
“...ทิศทางของความเจริญก้าวหน้า..นั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...และไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมานั่งตั้งคำถามด้วยเลย...ด้วยเหตุนี้...ข้าพเจ้าจึงยอมรับถนนสายใหม่ที่ตัดผ่านใจกลางสวนสาธารณะ ยอมรับธนาคารซึ่งสร้างด้วยกระจกกับเหล็กกล้า ซึ่งมาตั้งแทนที่โบสถ์หลังเก่าแก่อายุ 200 ปี..ยอมรับซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งมาเปิดกิจการขึ้นแทนร้านขายของชำตรงหัวมุมถนน กระทั่งทำใจปรับข้อเท็จจริงที่ว่า...ชีวิตมนุษย์จำต้องเร็วขึ้น...และปากกัดตีนถีบยิ่งขึ้นทุกวัน...”
ว่ากันว่า...ร่วม 3 ทศวรรษแล้ว...ที่ประชากรในเมืองใหญ่ๆ ของโลกนี้ต้องอาศัยอยู่ในสลัมที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค และ ครอบคลุมด้วยมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็น...เซี่ยงไฮ้ จาการ์ตา บอมเบย์ หรือไทเป ...ภาวะต่างๆเหล่านี้...ล้วนเพิ่มปริมาณของความน่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้น แม้จนกระทั่งถึงวันนี้...บางแห่งกลายเป็นแหล่งแห่งความรุนแรงมากที่สุดในโลก..มีคนงานนับร้อยเคยถูกเผาทั้งเป็นในโรงงานที่กรุงเทพฯ...ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในมะนิลา ยังชีพด้วยการคุ้ยหาเศษอาหารในกองขยะ ..ขณะที่ชาวเมืองบอมเบย์ประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ใกล้กับโรงงานซึ่งปล่อยกลิ่นและควันให้สูดดมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...
“ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอด คนอีกกลุ่มซึ่งมีเงินกลับพากันซื้อรถยนต์..เพื่อนำออกมาขับกันแน่นถนน..เหมือนไขมันอุดตันในเส้นเลือด เมืองแล้วเมืองเล่าในเอเชียนับวันจะมีแต่อัปลักษณ์ขึ้นเรื่อยๆ..ทั่วทั้งภูมิภาคนี้ อาชญากรรมและโสเภณีในเมืองมีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้น...ส่วนการจราจรนั้นไม่ต้องพูดถึง..ปัญหานี้จะรุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น..ทั่วทั้งภูมิภาคนี้...อาชญากรรมและโสเภณีในเมืองมีแต่เพิ่มจำนวนขึ้น...ส่วนการจราจรนั้นไม่ต้องพูดถึง ปัญหานี้จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น น้ำประปาหลายแห่งสกปรก เพราะไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย ...ท้องนาที่เคยเขียวสดใส กลายสภาพเป็นที่ก่อสร้างตึกรามบ้านช่อง..พวกที่เรียกตัวเองว่านักพัฒนา ...ต่างพากันทำลายเมืองเก่าและโบราณสถาน เพื่อสร้างสิ่งทันสมัยตามวัฒนธรรมอุตสาหกรรมขึ้นมาแทนที่”
บทความของ “Newsweek” เมื่อครั้งหนึ่ง ได้บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า....อนาคตของโลก อนาคตของทุกดินแดน ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอุตสาหกรรมจะมีแต่ความเลวร้าย..ท่ามกลางความเจริญที่ทุกดินแดนทั่วโลก เลียนแบบตามหลังชาวยุโรปหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม อีกไม่นานนักคาดว่า...โลกเกษตรกรรมจะพลิกผันไปสู่โลกอุตสาหกรรมอย่างสิ้นเชิง ...คนงานจะอยู่และตายท่ามกลางความเสื่อมทรามและอันตราย...
อย่างที่ “วิลเลียม เบลก” กวีชาวอังกฤษที่เคยให้ฉายาประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของเขาว่า “DARK SATANIC MILLS” อันหมายถึงโรงงานอันแสนชั่วร้าย...เพราะโรงงานเหล่านี้ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย...ให้กับคนงาน และเมืองทั้งเมืองต้องจมอยู่ภายใต้หมอกควันที่หนาทึบ ซึ่งพวยพุ่งออกมาจากเตาหลอมในที่สุด...
อนาคตของโลกวันนี้อยู่ที่ไหน?..อนาคตของสังคมวันนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งใด? คำถามข้างต้นนี้ อาจได้คำตอบแล้วตามวิถีวัฒนธรรมอุตสาหกรรม อนาคตอาจขึ้นอยู่กับวันนี้ หรือขึ้นอยู่กับ ภาวะแห่งอนาคตที่จะเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเองในวันพรุ่ง...
แต่อย่างไรก็ตาม...ในขบวนความคิดที่ย้อนกลับมีผู้เชื่อว่า..อนาคตของมวลมนุษย์จะไม่ก้าวไปสู่ความเลวร้ายอย่างที่คิด หากผู้คนในสังคมจะหวนคำนึงไปถึงอดีต และหวนกลับนำเอาวิถีและลักษณะที่มีค่าของอดีตนั้นกลับมาใช้กับสังคมอย่างจริงจังและตั้งใจอีกครั้ง...ในท่ามกลางสังคมที่มีทีท่าว่ากำลังล่มสลาย ...การศึกษาบทเรียนจากธรรมชาติอาจทำให้เรามองเห็น ความงดงามแห่งอนาคตได้..
อย่างไรก็ดี...เมื่อได้โอกาส สัมผัสกับวิถีธรรมชาติในลาดัก...ความคิดของ “เฮเลนา” ก็เริ่มเปลี่ยนไป... “ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสัมผัสกับวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งลุ่มลึกและงดงามยิ่งกว่า...ทั้งได้มีโอกาสมองดูวัฒนธรรมของตนเอง จากภายนอก...ข้าพเจ้าได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน ซึ่งหลักการพื้นฐานทางสังคมแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง...และได้แลเห็นผลกระทบที่โลกสมัยใหม่กระทำต่อวัฒนธรรมนั้น..เมื่อตอนที่ไปถึงในฐานะที่เป็นคนแปลกหน้าคนแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา...ลาดักยังมิได้รับอิทธิพลของความเปลี่ยนแปลงใดจากตะวันตก..ทว่าความเปลี่ยนแปลงกลับเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง...ร้านขายของเล่นผุดขึ้นมาในเมืองลาดัก เหมือนในหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกลในสเปน...ซึ่งต่างก็ขายของเล่นอย่างเดียวกัน..คือตุ๊กตาบาร์บี้ผมสีบรอนด์ตาสีฟ้า...กับตุ๊กตาแรมโบ้ถือปืนกล...”
การปะทะหักล้างกันระหว่างวัฒนธรรมทั้งสองกระแส เป็นไปอย่างเด่นชัดและรุนแรง ก่อให้เกิดข้อแตกต่างฉกรรจ์ๆอย่างเห็นได้ชัด...ทำให้”เฮเลนา”ได้มีโอกาสเรียนรู้วิธีคิด...ค่านิยม รวมทั้ง โครงสร้างทางสังคมและเทคโนโลยี...ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมอุตสาหกรรมกับสังคมบุพกาล ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรากฐานรองรับ..
“บทเรียนที่ได้รับจากลาดัก ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่า อาการนิ่งเฉยดูดายต่อความเปลี่ยนแปลงอันนำมาซึ่งความวิบัติ...นั้น....สืบเนื่องมาจากความสับสนของตัวเองระหว่างวัฒนธรรมกับธรรมชาติ...”
โดยข้อสรุป...วัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายที่ปรากฏอยู่ในฐานะของวันนี้ ถือได้ว่า...ได้ถูกกลบกลืนอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น “ผู้พิชิต” ในยุคปัจจุบันคือ.. “การพัฒนา” ตามระบบความเชื่อที่ถูกเน้นย้ำกันอย่างจอมปลอมอยู่บ่อยครั้ง...
และตามทรรศนะอันเป็นที่สุดของ”เฮเลนา”...ที่เป็นหัวใจแห่งหัวใจของหนังสือเล่มนี้...ก็คือ ประเด็นสำคัญที่เธอได้เน้นย้ำอยู่ซ้ำๆว่า.. “ชาวตะวันตกส่วนใหญ่มักพากันคิดว่า ความโง่เขลา..โรคภัยไข้เจ็บ...และการทำงานหนัก ...คือชะตากรรมของสังคมบุพกาล โดยนักคิดคนสำคัญๆ ของโลกตะวันตกนับแต่ “อาดัม สมิธ”...เรื่อยมาจนถึง “ซิกมันด์ ฟรอยด์”...รวมทั้งนักวิชาการสมัยใหม่ปัจจุบัน...ต่างพยายามที่จะทำให้ประสบการณ์ของโลกอุตสาหกรรมหรือโลกตะวันตกกลายเป็นของสากล ไม่ว่าจะโดยข้อสรุปหรือข้อสันนิษฐาน...นักคิดเหล่านี้ต่างเชื่อว่าทฤษฎีเกี่ยวกับมนุษย์ของตน...คือธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ แทนที่จะเป็นเพียงผลพวงของมนุษย์ ในวัฒนธรรมอุตสาหกรรม..เท่านั้น..”
“อนาคตอันเก่าแก่” (Ancient Future)บทเรียนจาก “วิถีธรรมชาติแห่งดินแดนธิเบตน้อย”...แม้จะเป็นเพียงหนังสือเล่มหนึ่ง แต่สาระของหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด ได้กลั่นกรองออกมาจากศรัทธาและความเชื่อมั่น...เพื่อเป็นแสงสว่างแห่งปัญญาในสัจธรรมที่ว่า...
“วิถีชีวิตอันกลมกลืน ...จะอยู่ในลีลาจังหวะแห่งธรรมชาติ..และกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น...ตลอดจนอนาคตในวันข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง...คำตอบของมนุษยชาติใช่จะต้องขีดวงจำเพาะอยู่ที่ยุโรป..หรือว่า อเมริกา...แต่อาจจะที่นี่...ที่.. “ลาดัก”...
“...คำตอบของอนาคตนั้น...อยู่ที่อดีต..มากกว่าที่อื่นใดทั้งหมด...!”