จากกรณีสาวลาววัย 19 ปี และพี่ชายเดินทางเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด หลังน้องสาวถูกนายจ้างร้านข้าวมันไก่ ย่านตลาดพิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หลอกให้ไปทำงาน แต่กลับพาไปบ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยสุเหร่าโรงกระโจม หมู่ 7 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และได้ใช้มือบีบคอ ใช้อาวุธปืนจี้บังคับข่มขืนน้องสาว โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามวานนี้ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอดพร้อมทีมงานได้ลงพื้นที่พาสาวลาวผู้เสียหายชี้จุดเกิดเหตุ และพาเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง เพื่อติดตามความคืบหน้าคดี หลังเคยแจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้ว โดยมีนายปริญญ์วัฒน์ เปี่ยมปินวงศ์ ผอ.ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม เป็นตัวแทนรับเรื่อง
นายเอกภพ กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายมาร้องทุกข์กับกระทรวงยุติธรรม 2 เรื่อง คือ ขอให้ติดตามความคืบหน้าทางคดี เและร้องขอค่าเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ เนื่องจากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป พี่น้องชาวลาวเป็นกังวลในเรื่องของการดำเนินคดี
นายเอกภพ กล่าวอีกว่า ตัวผู้ก่อเหตุยังมีการขมขู่ผู้เสียหายว่า “มึงเป็นคนลาว ตำรวจหรือกระบวนยุติธรรมของไทยไม่คุ้มครองมึงหรอก เพราะกูเป็นคนไทย ตำรวจก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว” จึงอยากฝากไปถึงพี่น้องชาวลาวว่าไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ว่าใครก็ตามต้องที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย ต้องได้รับการคุ้มครองตามกระบวนการยุติธรรมเท่าเทียมกัน ไม่ได้แบ่งชนชาติ ดังนั้น ต่อให้ผู้เสียหายเป็นคนลาว ผู้ก่อเหตุเป็นคนไทย แต่คนไทยที่กระทำความผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน
นายเอกภพ ยังกล่าวว่า หลังจากที่ได้พูดคุยกับผู้เสียหาย ตนมองว่าผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างชำนาญ และมีข้อเท็จจริงบางประการที่ไม่ตรงกัน เช่น ผู้ก่อเหตุทักมาบอกว่าประกอบอาชีพขายอาหาร แต่ภายหลังได้สอบถามเพื่อนบ้านของผู้ก่อเหตุ ได้รับข้อมูลมาว่า ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการขายอาหารในลักษณะนั้น แต่ขายผลไม้ในลักษณะรถเข็น และมองว่าไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างก็ได้ สำหรับผู้ก่อเหตุนั้น นายเอกภพ กล่าวว่า ขณะนี้ยังหลบหนี แต่คาดว่าตำรวจทราบว่าหลบหนีอยู่ที่ไหน เร็วๆนี้น่าจะได้ตัวมา
ด้านนายเอ (พี่ชายผู้เสียหาย) กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุ น้องสาวได้นั่งรถแท็กซี่ไปพบนายจ้างตามนัดหมาย แต่ตนไม่ได้ไปด้วย โดยหลังจากเกิดเหตุน้องสาวได้พยายามขอความช่วยเหลือด้วยการส่งคลิปเสียงมา และตนก็ได้ขอให้คนไทยช่วย จากนั้นคนไทยจึงได้พาไปแจ้งตำรวจ ส่วนประเด็นที่น้องสาวเชื่อใจอีกฝ่าย ก่อนนั่งแท็กซี่เดินทางไปหานายจ้างเพียงเพื่อหวังว่าจะได้งานทำ เนื่องจากคนลาวส่วนใหญ่จะหางานในลักษณะนี้ ปกติก็ได้งานกันหมด ไม่เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก่อน น้องสาวจึงเชื่อว่าจะได้งาน อย่างไรก็ตาม การมาร้องทุกข์ในวันนี้ ทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น และดีใจขึ้นมากกับกระบวนการของไทย หลังเกรงว่าน้องสาวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนผู้ก่อเหตุที่กระทำกับน้องสาวตน ถ้าเขาทำผิดก็อยากให้มารับผิดชอบในสิ่งที่ทำ ส่วนสภาพจิตใจตอนนี้น้องสาวยังกลัว เนื่องจากผู้ก่อเหตุมาข่มขู่ว่าจะฆ่าให้ตายหากไปบอกคนอื่น
นายปริญญ์วัฒน์ กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมจะมีการประสานไปยังตำรวจภูธรภาค 1 เพื่อให้ดูแลเกี่ยวกับคดี และมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการคุ้มครองพยานด้วย เนื่องจากผู้เสียหายถูกข่มขู่ สำหรับเงินเยียวยาจะให้สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา (สชง.) เข้ามาดูแลในส่วนนี้ ทั้งนี้ แม้ว่าผู้เสียหายจะเป็นชาวต่างชาติ แต่หากพำนักอยู่ในประเทศไทย ก็สามารถคุ้มครองสิทธิ์และดูแลเรื่องเงินเยียวยาได้
ขณะที่ตัวแทนเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ กล่าวว่า เนื่องจากเหตุเกิดที่จังหวัดนนทบุรี ขณะนี้ทางเราได้มีการส่งเรื่องไปยังสำนักงานยุติธรรมจังหวัดนนทบุรีเรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าระยะเวลาในการพิจารณาไม่นานแน่นอน สำหรับการเยียวยานั้น กรณีมีค่ารักษาพยาบาล เราก็จะมีการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาท และถ้ามีค่าขาดประโยชน์จากการขาดรายได้ เราก็จะจ่ายตามค่าแรงขั้นต่ำของจังหวัดนนทบุรี และจะมีค่าตอบแทนเสียหายอื่นสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนเอกสารจากผู้เสียหายจะเป็น หนังสือเดินทาง บันทึกประจำวัน เอกสารสำคัญจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ทางผู้เสียหายไม่ต้องเป็นกังวล ทางเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ จะประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้แทน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ผกก.สภ.บางบัวทอง ได้ยืนยันว่า นายปัญญา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ผู้ก่อเหตุ ได้เดินทางมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง แล้วตั้งแต่ช่วงเช้าวานนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำ และเบื้องต้นแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยตำรวจได้คัดค้านการประกันตัวและนำตัวฝากขังต่อศาลจังหวัดนนทบุรีเป็นที่เรียบร้อย.