ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

เมื่อ 28 ปีที่แล้วเกิดเหตุระเบิดใหญ่ในเมืองประวัติศาสตร์ซาราเจโว มีผู้คน 68 คน เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส 144 คน  ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก จนทำให้ชาวโลกให้ความสนใจสงครามที่เกิดขึ้นในบอสเนีย-เฮอเซโกวีนา  กับ โครเอเชีย

ในเนื้อข่าวของตะวันตกยืนยันตรงกันว่าเป็นความผิดของรัฐบาลยูโกสลาเวีย ที่มีเซอร์เบียเป็นแกนสำคัญกุมอำนาจ

ทั้งนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าเป็นฝีมือของเซอร์เบีย แต่รัฐบาลสหรัฐฯก็ได้ยื่นคำขาดให้รัฐบาลเซอร์เบีย ถอนอาวุธหนักคือปืนใหญ่ออกจากวิถีทำการที่จะถล่มบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ซึ่งฝ่ายเซิร์บก็ยินยอม

อย่างไรก็ตามได้เกิดเหตุระเบิดซ้ำอีกในบริเวณเดิมในวันที่ 28 สิงหาคม 1995 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 40 คน โดยนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นาโตเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อรัฐบาลเซิร์บ และทำให้รูปโฉมหน้าของสงครามเปลี่ยนไป จนในที่สุดก็นำไปสู่การแยกประเทศ เป็น 3 ส่วน คือ เซอร์เบีย โครเอเชีย และบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมซึ่งถูกชาวเซิร์บเข่นฆ่าทารุญในช่วงสงคราม

ทว่าวิธีการเดียวกันนี้สหรัฐฯและพันธมิตรก็ได้นำมาใช้กับหลายประเทศ เช่น ซีเรีย ลิเบีย อีรัก เวเนซุเอลลา คิวบา นิการากัว และปาเลสไตน์ ซึ่งจะเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่น่าอับอายของสหรัฐฯ ในโลกยุคใหม่ และเป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯได้ดำเนินการละเมิดอธิปไตยของประเทศอื่นอย่างชัดเจน โดยยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องมนุษยธรรมที่ก่อภัยพิบัติ ในประเทศเหล่านั้น เช่น ในตะวันออกกลางอย่างอีรัก ที่มีคนเสียชีวิตนับหมื่น และต้องอพยพลี้ภัยอีกเป็นล้าน โดยวิธีการเหล่านี้อาจตั้งชื่อเล่นว่า “หลอดทดลองอีรัก” “การประหารที่ลิเบีย” “การโจมตีก๊าซพิษซีเรีย”

กรณีที่เป็นเรื่องโกหกบันลือโลกก็คือ “หลอดทดลองอิรัก” กล่าวคือในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2003 รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯคอลลิน พาวเวล แถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า รัฐบาลอิรักภายใต้การนำของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน (ซึ่งเคยรับใช้สหรัฐฯในการทำสงครามกับอิหร่านในช่วง80มาแล้ว) มีอาวุธมหาประลัยที่ใช้สารเคมีร้ายแรง และเพื่อจะพิสูจน์คำพูดเขาได้โชว์หลอดทดลองที่มีผงสีขาว พร้อมกับแสดงภาพถ่ายทางดาวเทียมเป็นรูปกลุ่มโรงงาน ซึ่งก็ไม่อาจบอกว่าเป็นโรงงานอะไร และสารเคมีในหลอดทดลองที่เขายกขึ้นแสดงประกอบนั้นมันเป็นอะไรกันแน่

ถ้าเราคิดกันเล่นๆ ว่าเกิดเขาทำหลอดหลุดมือตกแตก สารเคมีที่เขาอ้างว่ามีพิษร้ายแรงก็อาจทำให้คณะมนตรีความมั่นคงฯมีอันม้วยมรณาได้ทั้งคณะ แต่หลักฐานที่เขาอ้างไม่เคยมีการพิสูจน์ โดยองค์กรใดๆที่เป็นกลาง ตลอดจนแหล่งที่นำมาก็อ้างว่าสายลับของสหรัฐฯ ไปฉกมาก็ไม่อาจยืนยันอะไรได้

หลังจากแถลงต่อสหประชาชาติ โดยคณะมนตรีความมั่นคงมิได้มีมติใดๆ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ก็สั่งกองกำลังสหรัฐฯ เข้าโจมตีทางอากาศจนแบกแดดยับเยิน และส่งทหารบุกเข้าอีรัก โดยมิได้รับการต้านทานจากกองกำลังรีพับลิกของซัดดัม ที่เล่าลือกันว่าเข้มแข็งนัก และสุดท้ายก็ไม่พบอาวุธมหาประลัย แม้แต่โรงงานที่อ้างก็กลายเป็นตลกร้ายคือ โรงงานที่มีการถ่ายภาพดาวเทียม และใช้เป็นหลักฐานในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กลายเป็นโรงงานทำเครื่องสุขภัณฑ์

ที่ตลกร้ายกว่านั้นก็คือจนถึงปัจจุบัน หลังจากมีการตรวจสอบและเผยแพร่ข้อมูลออกมานานพอควรแล้ว ยังมีคนบางคนยังเชื่อว่ามีโรงงานผลิตอาวุธมหาประลัยจริง แต่ได้มีการทำลายหลักฐานก่อนสหรัฐฯเข้ายึด นี่แหละอิทธิพลของการใช้สื่อและบิดเบือนข่าว

ด้วยขบวนการบิดเบือนหรือสร้างข่าวเท็จ ในการทำสงครามข้อมูลข่าวสาร(Information Warfair)  จึงไม่น่าประหลาดใจว่าสหรัฐฯ และตะวันตก จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำสงครามกับรัสเซีย ในกรณีความขัดแย้งที่ยูเครน แต่ก็นับว่าเป็นการใช้เครื่องมือที่คุณภาพต่ำมาก เช่น ข่าวบิดเบือนกรณีการสังหารหมู่ ที่เมืองบูชาไอช์เปนิ กอสโตเมล และมารีอูโปล ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในรายละเอียด แต่ทางรัสเซียก็ได้มีการเสนอหลักฐานต่อสหประชาชาติ และเรียกร้องให้มีการส่งทีมพิสูจน์หลักฐานตามหลักนิติวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบ โดยขอให้เป็นทีมของชาติเป็นกลางในนามสหประชาชาติ แต่ก็มิได้มีการตอบสนองใดๆ

ในทางตรงข้ามตะวันตกพยายามเบี่ยงเบนประเด็นในกรณีที่กองกำลังยูเครนทำทารุณกรรมต่อทหารรัสเซีย อันนับว่าเป็นการผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ หรือ ข้อตกลงต่างๆระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งข่าวเหล่านี้สื่อตะวันตกไม่เคยนำเสนอ หรือถ้าจะมีก็เป็นข่าวเล็กๆ ไม่โหมประโคมเหมือนเช่นข่าวว่ารัสเซียเป็นผู้ยิงถล่มโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซาปอริสเซีย ทั้งๆที่รัสเซียเป็นผู้ที่ยึดครองโรงไฟฟ้าดังกล่าวอยู่ มันจึงไร้เหตุผลสิ้นดีที่จะไปยิงถล่มโรงไฟฟ้าที่ตนยึดครอง และมีทหารรัสเซียปกป้องอยู่เกือบพันคน

นี่ยังมิได้กล่าวถึงการโจมตีลิเบียของสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้บ้านเมืองพินาศย่อยยับ ผู้คนล้มตาย อีกนับล้านอพยพหนีตาย และบางส่วนจมน้ำตายเพราะเรืออับปาง ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยสหรัฐฯและพันธมิตรอ้างว่าผู้นำกัดดาฟี เป็นเผด็จการและเข่นฆ่าประชาชน และเช่นเคยไม่มีหลักฐานอันสมควร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติอื่นใช่หรือไม่ และในแง่มนุษยธรรมจะวัดอย่างไร ในเมื่อสหรัฐฯ และพันธมิตรทำให้คนสูญเสียชีวิตจำนวนมาก และต้องอพยพลี้ภัยอีกนับล้าน ที่สำคัญมีข้อมูลที่อาจเชื่อมโยงได้ว่า เหตุที่ต้องล้มกัดดาฟี ซึ่งเป็นประธานสหภาพแอฟริกา เพราะเขากำลังจะนำประเทศในแอฟริกาทั้ง 53 ประเทศ ให้เลิกใช้ดอลลาร์และเปลี่ยนมาใช้ระบบเงินตราของตนเอง ที่มีมาตรฐานทองคำรองรับ

นอกจากนี้ลิเบียภายใต้การนำของกัดดาฟี ยังให้การช่วยเหลือทางการเงินในการพัฒนาประเทศในแอฟริการวมกันนับหลายแสนล้านดอลลาร์

ทว่าสื่อตะวันตกก็มาสร้างภาพว่ากัดดาฟีเป็นจอมเผด็จการที่หฤโหดกับประชาชน แต่ในความเป็นจริงกัดดาฟีได้สร้างระบบสวัสดิการที่ดีเยี่ยมให้ประชาชน ในขณะที่ส่วนตัวก็ยังอาศัยอยู่ในเต็นท์ และมิได้มีฐานะทางการเงินที่ร่ำรวยหรือมีเงินฝากส่วนตัวในต่างประเทศ เหมือนจอมเผด็จการที่คอร์รัปชันหลายๆคน

ทุกวันนี้ลิเบียกลายเป็นรัฐล้มเหลวที่มีคนแย่งชิงอำนาจกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ทั้งนี้สื่อตะวันตกต่างพากันเงียบเฉย ต่างจากตอนที่สหรัฐฯเริ่มโจมตีเพราะสื่อตะวันตกจะฉายภาพเลวร้ายของกัดดาฟี เพื่อให้สอดประสานและสร้างความชอบธรรมให้สหรัฐฯ และพันธมิตร โดยไม่พูดถึงการละเมิดอำนาจอธิปไตย หรือหลักมนุษยธรรมเลย

ส่วนในอเมริกาใต้สหรัฐฯในอดีตก็สนับสนุนเผด็จการทั้งหลายที่สนองประโยชน์ตน และคอยทำลายผู้นำที่จะมาดูแลผลประโยชน์ประชาชนของเขา อย่างฟิเดลกัสโตร อาเยนเด ฮูโก ชาเวซ และ มอร์ราเลส ต่างก็ถูกสหรัฐฯหนุนทหารให้มีการยึดอำนาจ หรือทำลายด้วยวิธีการต่างๆ

แต่สื่อตะวันตกก็ยังคงสร้างมายาคติบิดเบือนข่าว หรือให้ข่าวเท็จมาโดยตลอด จนทำให้เกิดความเชื่อและงมงายด้วยขบวนการผลิตซ้ำทางความคิดเหล่านี้ นี่ยังไม่นับการสร้างมายาคติ โดยภาพยนตร์จากฮอลลีวูด ที่ทำมานานหลายทศวรรษมาแล้ว