ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อวันที่ 22 ก.ย.65 ศาลอ่าน คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.36/2562ที่ อัยการสูงสุด ฟ้อง นายนริศร ทองธิราช อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย กรณีเสียบบัตรเเทนกัน โดยโจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งส.ส. เมื่อวันที่ 10 ก.ย.56 มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาวาระที่ 2 เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เวลา 17.33 น. จําเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นหลายใบ เสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงมติ

ต่อมาวันที่ 11 ก.ย.56 เวลา 16.43 น. จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่น จำนวนหลายใบ เสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงคะแนน ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นับโทษจำเลยต่อจากโทษ จําคุกในคดีอาญาหมายเลข ที่ อม.8/2565 ของศาลนี้ จําเลยให้การปฏิเสธ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจยื่นฟ้องหรือไม่ องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 ไม่มีประเด็นเรื่องความรับผิดทางอาญา การที่บุคคลใด จะต้องรับโทษอย่างไรหรือไม่ จึงเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการเป็นคดีอาญาต่อไป ป.ป.ช. ย่อมมี อำนาจหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งป.ป.ช. มิได้ชี้มูลความผิดไปโดยอาศัยเหตุที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันป.ป.ช. ดังที่จำเลยต่อสู้

แม้รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจ หน้าที่ในการเสนอญัตติและพิจารณาญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่ในส่วนการกระทำของสมาชิก รัฐสภาในฐานะเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติใดที่อาจมีความรับผิดทาง อาญาก็ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีโดยศาล คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิได้เร่งรีบรวบรัดโดยมุ่งจะ เอาผิดดังที่จําเลยอ้าง บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาระบุวันเดือนปีที่เกิดเหตุโดยละเอียดแล้ว จำเลยมิได้แถลงต่อศาลว่าไม่เข้าใจคําฟ้องและฟ้องของโจทก์บรรยายชอบแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง

ปัญหาข้อต่อไปว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลส่งคลิปวีดิทัศน์ไปตรวจพิสูจน์แล้วไม่พบร่องรอยการตัดต่อ ฟังได้ว่า จำเลยนำบัตรหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนตามที่ปรากฏภาพใน คลิปวีดิทัศน์ทั้ง 3 คลิปจริง

ปัญหาต่อไปว่า การที่จำเลยนำบัตรหลายใบใส่เข้าไปในเครื่องลงคะแนนตามที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์เป็นการลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่นหรือไม่ พยานโจทก์หลายปากเบิกความว่า บัตรในคลิปวีดี ทัศน์เป็นบัตรจริง และมีจำนวนมากกว่า 1 ใบ เหตุที่ทราบว่าเป็นบัตรจริงเนื่องจากเป็นบัตรที่มีรูป การกระทำของจำเลย เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนอันส่งผลให้ปรากฏผลการลงคะแนนหลายครั้งสำหรับบัตรแต่ละใบได้

จึงฟังว่าจำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่น เมื่อไม่มีการออกบัตรใหม่แทนบัตรใบเดิมจึงไม่อยู่ในวิสัยที่ จําเลยจะมีบัตรจริงหลายใบดังที่อ้าง บัตรเดิมไม่สามารถลงคะแนนได้จึงไม่มีประโยชน์ที่จำเลยจะต้องนําบัตร ที่ถูกยกเลิกแล้วมาใช้บัตรจริงและบัตรสำรองจะแสดงผลการลงคะแนนเพียงครั้งเดียวจึงไม่มีเหตุที่จำเลย จะต้องใส่ทั้งบัตรจริงและบัตรสำรองลงในเครื่องอ่านบัตรภาพตามคลิปวีดิทัศน์ปรากฏว่ามีสัญญาณไฟกะพริบ ทุกครั้งที่ใช้บัตรแต่ละใบ แสดงว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ลงคะแนนทั้งสิ้น พยานหลักฐานฟังได้ว่า จำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่นจริง

ปัญหาต่อไปว่า การกระทำของจำเลยตามที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ เป็นเหตุการณ์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เสียงที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ตรงกับข้อความรายงานการประชุมรัฐสภา ซึ่งได้บันทึกถ้อยคำของผู้เข้าร่วมประชุมไว้แบบแทบทุกถ้อยคำ ย่อมนำมาเปรียบเทียบกับเสียงที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ได้

ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยตามที่ปรากฏในคลิปเป็นเหตุการณ์ตามฟ้อง แม้ต่อมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประกาศให้รัฐธรรมนูญ 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 แต่หาได้มีผลเป็นการลบล้างว่าไม่มีการกระทำของจำเลยอันมิชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น หรือมีผลกลับกลายเป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การกระทําของจำเลยตามฟ้องเป็นการกระทำต่างวันเวลากัน ความผิดในแต่ละคราวอาศัยเจตนาในการกระทําความผิดแยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิด 2 กรรม

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุก กรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก ให้ลงโทษจําคุกกระทงละ 1 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 16 เดือน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดใดๆ มาก่อน ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษแก่จําเลยได้

ส่วนที่โจทก์มีค่าขอให้นับโทษจําเลยต่อจากโทษของจําเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.5/2565 ของศาลนี้นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษา คำขอให้ยก