วันที่ 16 ก.ย.65 ที่ จ.สตูล พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า จากกรณี เมื่อประมาณต้นปี 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุแก๊งคนร้ายตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์ในพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล รวมกันกว่า 12 คดี ซึ่งผู้ก่อเหตุจะมีพฤติกรรมคล้ายกัน กล่าวคือ จะแต่งกายด้วยการสวมเสื้อคล้ายชุด PPE สวมหมวกโม่งลิง สะพายเป้สีดำ ถือชะแลงเหล็กยาว เลือกก่อเหตุในร้านค้า สถานประกอบการ สหกรณ์ ปั๊มน้ำมัน ร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีตู้นิรภัย ซึ่งบริเวณด้านหลังอาคารมักจะอยู่ติดกับป่าละเมาะ หรืออยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนหรือชุมชน มูลค่าความเสียหายจากการก่อเหตุของแก๊งดังกล่าวมากกว่า 29 ล้านบาท สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก นั้น


จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เร่งดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้โดยด่วน เนื่องจากกลุ่มคนร้ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ที่อุกอาจ ก่อเหตุอย่างต่อเนื่องไม่เกรงกลัวกฎหมาย สร้างความหวาดกลัวให้พี่น้องประชาชน  และสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าหลายล้านบาท และได้ออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 406/2565  ลงวันที่ 8 ก.ย.65 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและประสานข้อมูลและการปฏิบัติจากหลายท้องที่ เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และเร่งติดตามทรัพย์สินที่ถูกลักเอาไปกลับคืนมาโดยเร็ว
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ทำให้ทราบว่า มีเหตุลักทรัพย์ที่มีพฤติการณ์ในการก่อเหตุในลักษณะใกล้เคียงกันนี้อีกรวมทั้งสิ้น 25 ครั้ง ในหลายท้องที่ทั่วประเทศ รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท

และสามารถระบุตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้ได้นายสมพร อายุ 44 ปี ชาว ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล 
และนายวสันต์ อายุ 39 ปี ชาว ต.ยะรม อ.เบตง จ.ยะลา โดยทั้งสองมีพฤติการณ์ในการก่อเหตุกล่าวคือ ผู้ต้องหาทั้งสองจะขับรถยนต์ตระเวนหาเป้าหมายในการก่อเหตุที่เป็นร้านค้า สถานประกอบการ สหกรณ์ ปั๊มน้ำมัน ร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีตู้นิรภัย ที่ตั้งอยู่ติดกับป่าละเมาะ หรืออยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนหรือชุมชน เมื่อสบโอกาส ก็จะแต่งกายคล้ายการสวมชุด PPE สวมหมวกโม่งลิง สะพายเป้สีดำ ใช้ไขควงยาวในการงัดแงะเข้าไปในตัวอาคารแล้วเข้าไปลักเอาทรัพย์สิน โดยใช้ชะแลงเหล็กเจาะทำลาย หรือยกเอาตู้นิรภัย หรือจะนำเซิฟเวอร์ของกล้องวงจรปิดไปด้วย โดยตระเวนก่อเหตุลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่  จากภาคใต้-ภาคเหนือ 


ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ก.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธร ภาค9 ,สงขลา และ สตูล ได้สนธิกำลังกัน  สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายได้ ตามหมายจับศาลจังหวัดสตูล โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ โดยเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น มอมหน้าหรือทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหน้าหรือจำหน้าได้ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป, โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม, ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตรวจยึดสิ่งของที่ใช้ในการกระทำผิดรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซู ทะเบียน สงขลา จำนวน 1 คัน,รถ จยย. ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน ,หมวกโม่งลิง  จำนวน 15 ใบ,ถุงมือผ้ายาว จำนวน 7 คู่ ,รองเท้าหุ้มส้น แบบสตั๊ดดอย สีดำ จำนวน 6 คู่ ,กระเป๋าเป้  จำนวน 5 ใบ ,ไฟฉาย แบบคาดศีรษะ จำนวน 3 อัน ,ชะแลงเหล็กยาว จำนวน 2 อัน ,ไขควง จำนวน 3 ด้าม   
,กรรไกรตัดเหล็ก  จำนวน 5 อัน,เครื่องเจียร์ไฟฟ้า  จำนวน 3 ตัว,ฆ้อน  จำนวน 3  ด้าม เลื่อยตัดเหล็ก  จำนวน 1 คัน ,ใบเลื่อย  จำนวน16แผ่น,คีม  จำนวน 2 อัน,เสื้อผ้า จำนวนหนึ่ง ,โทรศัพท์มือถือ  จำนวน 3 เครื่อง ,นาฬิกาหรู จำนวน 8 เรือน และ น้ำหอม จำนวน 3 ขวด


จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าได้ร่วมกันก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องมาจำนวนหลายครั้ง ในช่วงระหว่างปี 2562 - 2565 รวมมากกว่า 20 ครั้ง ประกอบด้วย
- ในพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 12 ครั้ง ได้แก่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวน 3 ครั้ง และ จ.สตูล จำนวน 9 ครั้ง 
- ในพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 1 ครั้ง ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี  
- ในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 7 ครั้ง ได้แก่ จ.ลำปาง 1 ครั้ง และ จ.เชียงราย 6 ครั้ง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถตรวจยึดทรัพย์สินที่ถูกลักเอาไป เพื่อนำมาส่งมอบคืนแก่ผู้เสียหาย ประเภทนาฬิกา หรู จำนวน 8 เรือน มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท   โดยจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งขยายผลหาผู้ร่วมกระทำความผิด รวมทั้งผู้ที่รับซื้อทรัพย์สิน และจะเร่งติดตามทรัพย์สินที่ยังไม่ได้คืนมาอย่างเร่งด่วน 


พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นอีกคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน เนื่องจากมีการก่อเหตุต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง จึงได้มีการสั่งการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อลงมือรวบรวมพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุในหลายพื้นที่รวมกัน นำหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และภาพจากกล้องวงจรปิดนำมาวิเคราะห์ข้อมูล จนสามารถระบุแผนประทุษกรรมที่มีลักษณะคล้ายกัน และนำมาสู่การระบุตัวและจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายได้ จากนี้จะสั่งการให้ทุกพื้นที่ที่มีเหตุลักทรัพย์ที่มีพฤติการณ์คล้ายกับคดีดังกล่าว นำพยานหลักฐานมาเปรียบเทียบเพื่อขยายผลในการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ก่อเหตุเพิ่มเติม รวมทั้งติดตามผู้ร่วมขบวนการ และผู้รับซื้อของที่ได้จากการลักทรัพย์ต่อไป