เป็นข่าวดังอยู่หลายวัน กรณีการปลดฟ้าผ่า "โทมัส ทูเคิล" พ้นจากตำแหน่งนายใหญ่ในสแตมฟอร์ดบริดจ์ เมื่อวันที่ 7 ก.ย.65 ที่ผ่านมา หลังจากที่ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2022-23 เปิดฉากมาได้เพียงแค่ 6 นัดเท่านั้น
เนื่องจาก "ท็อดด์ โบห์ลี่" เจ้าของสโมสรเชลซีคนใหม่ไม่ขอทน ด้วยผลงานของ ทูเคิล ที่พาทีมแพ้ในลีกไป 2 นัด คะแนนห่างจ่าฝูง 5 แต้ม อีกทั้งยังบุกไปแพ้ ดินาโม ซาเกร็บ ในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดแรก
ช่วงนี้ ทูเคิล เหมือนดวงแตก ผลงานในสนามว่าย่ำแย่แล้ว ชีวิตส่วนตัวก็ไม่แพ้กัน โดยก่อนหน้านี้เมื่อประมาณเดือนเมษายน ตัวเขาเองก็ต้องสูญเสียชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกันมานาน 13 ปี เมื่อภรรยาของเขา ซิสซี ทูเคิล ดำเนินการฟ้องหย่า
ภายหลังถูกปลดไม่กี่วัน อดีตกุนซือเชลซี ได้โพสต์โซเชียลมีเดียเผยความในใจว่า ครั้งนี้เป็นแถลงการณ์ที่เขียนยากที่สุดในชีวิต และเป็นแถลงที่ตนหวังว่าจะไม่ต้องเขียนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตนรู้สึกใจสลายที่ช่วงเวลาการทำงานกับเชลซีสิ้นสุดลง นี่คือสโมสรที่ทำให้รู้สึกเหมือนบ้านทั้งในมุมชีวิตส่วนตัว และในหน้าที่การงาน ขอบคุณทีมงาน นักเตะ และแฟนๆ ที่ต้อนรับอย่างอบอุ่นตั้งแต่ต้น
"จะระลึกถึงความภาคภูมิใจและความสุขที่มีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และแชมป์สโมสรโลกตลอดไป รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สโมสร และความทรงจำตลอด 19 เดือนที่ผ่านมา จะพิเศษในใจของตนเสมอ"
ในอดีต โทมัส ทูเคิล ไม่ประสบความสำเร็จนักในสมัยที่เป็นนักเตะ เคยผ่านการเล่นฟุตบอลอาชีพในตำแหน่งกองหลังกับ 2 ทีมเท่านั้น และเป็นสโมสรในลีกล่างของเยอรมนี คือ คิกเกอร์ สตุทการ์ท ในปี 1992-1994 และอูล์ม ระหว่างปี 1994-1998
หลังจากนั้น ทูเคิล จำเป็นต้องยุติการค้าแข้ง เนื่องจากประสบปัญหาอาการเจ็บเข่าเรื้อรังจนต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 25 ปี แต่ในขณะเดียวกัน ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่ เพราะนั่นทำให้ ทูเคิล ได้ผันตัวมายังบทบาทใหม่ นั่นคือเส้นทางการเป็นโค้ชตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม
ทีมที่สร้างชื่อให้กับ ทูเคิล ในฐานะโค้ช คือ ไมนซ์ และสามารถพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกาได้สำเร็จ จนไปเข้าตา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ดึงมาคุมทีม และปารีส แซงต์แชร์แมง ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือเชลซีเมื่อต้นปี 2021 และพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปตั้งแต่ฤดูกาลแรก และเพิ่งคุมทีมครบ 100 นัด ในเกมบุกพ่ายดินาโม ซาเกร็บ ซึ่งเป็นชนวนให้โดนปลดจากตำแหน่ง
สำหรับ "เกรแฮม พ็อตเตอร์" ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษของไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน สโมสรในโซนหนีตายแห่งเวทีพรีเมียร์ลีก ถูกเลือกให้มารับหน้าที่แทน โดยสิงโตน้ำเงินคราม ต้องจ่ายเงิน จำนวน 15 ล้าน ปอนด์ (ราว 627.7 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าชดเชยในการดึงตัวไปคุมทัพ
โดยกุนซือ วัย 47 ปี รับค่าเหนื่อยมหาศาลจากเชลซี สูงถึง 10 ล้านปอนด์ต่อปี ทั้งที่ได้รับเงินในถิ่นเอแม็กซ์ สเตเดี้ยม เพียง 2 ล้านปอนด์ต่อปีเท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวทำให้ พอตเตอร์ เป็นรองเพียง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่รับเงิน 19 ล้านปอนด์ต่อปี, เยอร์เก้น คล็อปป์ 16 ล้านปอนด์ต่อปี และอันโตนิโอ คอนเต้ 15 ล้านปอนด์ต่อปีเท่านั้น
ส่วนทางด้าน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส รับค่าเหนื่อยระดับเดียวกันกับเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ 10 ล้านปอนด์ต่อปี ขณะที่ เอริก เทน ฮาก นายใหญ่คนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รับทรัพย์ 9 ล้านปอนด์ต่อปี และมิเกล อาร์เตต้า ได้เงินปีละ 8.3 ล้านปอนด์
ประวัติ "พอตเตอร์" เคยเล่นฟุตบอลอาชีพ ในตำแหน่งแบ็คซ้าย และสามารถก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษ ชุดอายุไม่เกิน 21 ปี แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว ต้องวนเวียนค้าแข้งให้กับสโมสรระดับล่างหลากหลายสโมสร ก่อนตัดสินใจแขวนสตั๊ดกับแมคเคิลส์ฟิลด์ ทาวน์ ในปีคริสต์ศักราช 2005
จากนั้น ได้หันไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี รวมถึงมีโอกาสรับหน้าที่พัฒนาทีมฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัย และรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคให้กับทีมฟุตบอลหญิง ของทีมชาติกานา ในศึกฟุตบอลโลก เมื่อปีคริสต์ศักราช 2007 ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงฟุตบอลมากยิ่งขึ้น ก่อนจะเดินทางไปทำหน้าที่เป็น ผู้จัดการทีม ให้กับออสเตอชุนด์ ทีมในระดับดิวิชั่น 4 ของวงการฟุตบอลสวีเดน ในปี 2010 ตลอดระยะเวลา 8 ปี บนผืนแผ่นดินสวีเดน เขาได้สร้างผลงานระดับพระกาฬ ด้วยการพาออสเตอชุนด์ เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด ด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี แถมยังพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยภายในประเทศได้สำเร็จ คว้าตั๋วไปลุยศึกยูโรป้า ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก่อนจะตกรอบ 32 ทีมสุดท้าย
ต่อมา ในปี 2018 ได้มาคุม สวอนซี ทีมในศึกแชมป์เปียน ชิพ ที่เพิ่งจะตกชั้นมาจากเวที พรีเมียร์ลีก และพาทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับ 10 ของตารางคะแนน จากนั้นถูกดึงตัวไปเป็นกุนซือของทัพนกนางนวล ไบรท์ตัน บนเวทีพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019-2020
...ยังเป็นเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆที่ พอตเตอร์ ก้าวขึ้นมาคุมทีมใหญ่อย่างเชลซี และรับค่าเหนื่อยมหาศาลถึง 10 ล้านปอนด์ต่อปี ด้วยดีกรีที่คุมทีมขนาดเล็กมาตลอดอาชีพกุนซือ เป็นความสามารถล้วนๆ หรือเป็นแค่ "ส้มหล่น" ที่เจ้าสัวชาวอเมริกันเลือกมาขัดตาทัพ แต่ที่แน่ๆ "ทูเคิล" คือคนดวงแตกแห่งปี...