อนุทิน" ปัดข่าวรอรับไม้ต่อ "บิ๊กตู่" สืบทอดตำแหน่งนายกฯ  ยันสัมพันธ์  "3 ป" แน่นไร้ปัญหา  "โรม" เย้ย "มีชัย" มี 2 ร่าง ชี้เอกสารหลุดเช็กกระแส สังคม ยันเจตนารธน.ป้องกันผูกขาดอำนาจ หวั่นธงวาระ 8 ปีเปลี่ยน บี้ "ประยุทธ์" ลาอออก "โพล"ชี้ประชาชนจับตาปม"นายกฯ8ปี-ยุบสภา"  ระบุฝ่ายค้านได้เปรียบลต.ครั้งหน้า 
  
  เมื่อวันที่ 7 ก.ย.65 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  กล่าวถึงกระแสข่าวภายหลังมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รับไม้ต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีหากถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุติปฏิบัติหน้าที่ ว่า ตนเคารพทั้ง 3 ท่าน เหมือนเดิม เพราะอยู่ในครม.เดียวกัน ต้องให้เกียรติกัน ความสัมพันธ์ไม่มีปัญหา การทำงานราบรื่น อย่าลืมว่า 1 ใน  3 ป เป็นนายกฯ ส่วนตัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ อย่างไรก็ตามในสภาตนคือตัวแทนประชาชน ส่วนเรื่องการรับไม้ต่อมาเป็นนายกฯ เป็นการวิเคราะห์กันไป แต่ในฐานะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ถ้าเป็นนายกฯก็อยากจะมาจากเสียงประชาชน เป็นได้หรือไม่ ให้เป็นเรื่องของประชาชนพิจารณา แล้วการทำงานหนักที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ทำเพื่อได้เป็นนายกฯ แต่ทำเพราะมันเป็นอินเนอร์ เวลาทำแล้วมีประโยชน์ก็อยากทำต่อ อย่างนโยบายฟอกไตฟรี มีประชาชนมาขอบคุณ ที่เดินหน้านโยบายนี้ ช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น เราก็ต้องการทำต่อ ด้วยอำนาจหน้าที่ที่มี แต่มันจะช่วยให้ไปถึงตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ เรายังไม่ได้คิดตรงนั้น แค่ทำให้เต็มที่
  
   ผู้สื่อข่าวถามถึงเป้าหมายของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นพรรคการเมือง ถ้าอยากทำนโยบายได้ราบรื่น หาเสียงแล้วทำได้ ก็ต้องเป็นพรรคที่ใหญ่ไว้ก่อน เราคัดเลือกผู้สมัคร โดยดูว่าต้องเป็นผู้ที่ทำงานหนักในพื้นที่ ประชาชนยอมรับ เมื่อประชาชนเชียร์คนก็ย่อมเป็นคะแนนให้พรรคไปในตัว แต่เมื่อเป็นพรรคใหญ่บางทีมันก็มีโอกาสได้เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งทางพรรคก็ยืนยันว่าเราจะไม่มากลัวจนต้องมานั่งลดขนาดของตัวเอง จะเป็นอะไร มันก็ต้องเป็น ต้องเข้าใจว่าเมื่อขนาดมันเป็นอย่างนั้น มันก็อาจจะยากหน่อย ในการตัดสินใจหลังเลือกตั้ง แต่เราเลือกแล้วที่จะเดินทางนี้ 
     
ด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงเอกสาร นายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หลุดเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ว่า ถ้าเอกสารเป็นฉบับจริง แสดงว่ามีนายมีชัย 2 คน คนเก่าที่อยู่ในฐานะอดีตประธานกรธ.มีความเห็นกรณี 8 ปี อีกแบบหนึ่ง แต่คนใหม่วันนี้ให้ความเห็นทางกฎหมายในทางตรงกันข้าม ส่วนตนเห็นด้วยกับนายมีชัยคนเก่า ถ้าจะนับ 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้องนับต่อเนื่องกัน  เพราะบทเฉพาะกาลเขียนไว้ชัดเจน ต้องนับระยะเวลาก่อนที่รัฐธรรมนูญปี 60 จะบังคับใช้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะตีความว่าการดำรงตำแหน่งนายกฯไม่ครบ 8 ปี  
    
 เมื่อวานมีเอกสารฉบับหนึ่งเกี่ยวกับบันทึกการประชุมของกรธ.ได้รับรองเอกสารการประชุมครั้งที่ 500 ดังนั้นเอกสารที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่าถ้อยคำที่ส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นการจดคลาดเคลื่อนหรือไม่ครบ แสดงว่าโต้แย้งกัน ทำให้เห็นว่าน้ำหนักที่ยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญมีน้ำหนักไม่มาก ถึงที่สุดความเห็นและเจตนารมย์ของกฎหมายมีความชัดเจน และความเห็นในที่ประชุมได้เป็นนายไปแล้วจะต้องตีความอย่างไร การตีความอื่นๆของนายมีชัยไม่สามารถรับฟังได้โดยหลักการ 
    
   ยืนยันว่าถ้าเจตนารมย์ของความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญคือการป้องกันการผูกขาดอำนาจ คือการป้องกันที่จะไม่ให้นายกฯผูกขาดอำนาจที่ยาวนานเกินไป อาจจะนำไปสู่วิกฤตทางการเมือง ถ้าตีความให้พล.อ.ประยุทธ์ในวันแรกที่เป็นนายกฯ วันที่ 6 เม.ย.60 เรากำลังตีความขัดแย้งต่อเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าวิกฤตทางการเมืองต่อไปจะเกิดขึ้นจากตรงนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการที่เราตีความพล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกฯมาตั้งแต่ปี 57 หวังว่าการให้ความเห็นของผมจะเป็นประโยชน์และผู้มีอำนาจที่จะวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องนี้จะรับฟังและจะนำไปสู่การตีความที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
    
 นายรังสิมันต์ โรม กล่าวต่อว่า ปกติระบบรัฐสภาไม่มีจำกัดวาระและอำนาจแบบนี้ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ก็ต้องตีความให้สอดคล้องกับกฎหมาย ไม่ใช่ว่าอะไรที่แย่ก็โยนให้ฝ่ายตรงข้าม แต่อะไรที่ดีก็เก็บเอาไว้กับตัวเอง หากวันหนึ่งกฎหมายเป็นภัยกับตัวเองก็พยายามที่จะเบี่ยงเบนและบิดเบือนกฎหมายไปในทิศทางแบบอื่น ถ้าอย่างนั้นสังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
    
 นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เอกสารที่หลุดออกมามองได้ 2 ทางคืออาจจะเป็นการโยนหินถามทาง ว่าสังคมจะมีความเห็นอย่างไร และทางการเมือง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างภายในรัฐบาล  หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นนายกฯต่อ อาจจะทำให้องคาพยพต่างๆสูญเสียความเชื่อมั่น พยายามตีตัวออกห่าง การที่ส่งเอกสารแบบนี้และอ้างว่าเป็นของนายมีชัย มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้กำลังใจ ให้ความมั่นใจที่อาจจะมีความรู้สึกว่ารอพล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาหรือไม่ เพื่อให้อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไป แต่เราก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นเอกสารของนายมีชัย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อาจจะเป็นเอกสารทำขึ้นมาเองก็ได้ ตนก็หวังว่านายมีชัยเป็นถึงอาจารย์ แต่ผ่านมาไม่กี่ปีความเห็นจะเปลี่ยนไป เป็นสิ่งที่เกินจะรับได้  
    
   "ยอมรับเอกสารอาจจะชี้นำได้ การตีความกฎหมายอาจจะออกมาอีกแบบได้เลย และการตีความตามกฎหมายไม่ได้ยึดโยงกับคน แต่ต้องดูที่ความมุ่งหมายในวันบันทึกการประชุมของกรธ. ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ต้องไปดูตรงนั้นไม่ใช่ดูความเห็นของนายมีชัย แต่ผมกังวลใจจริงๆว่าแนวทางการตีความของศาลรัฐธรรมนูญจะเปลี่ยนไป เพราะการตีความไม่ต้องไปสืบพยานอะไรมาก เป็นการวินิจฉัยตามข้อกฎหมาย เมื่อคำวินิจฉัยให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็คิดว่าไม่รอด แต่เมื่อมีความเห็นของนายมีชัยออกมาแบบนี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีโอกาสที่ธงจะเปลี่ยนไป ยอมรับมีโอกาสมากขึ้น แต่ยังให้น้ำหนักว่าการปล่อยออกมาแบบนี้อาจจะเช็กกระแสสังคมก่อนจะมีความเห็นอย่างไร ถ้าการวินิจฉัยออกมาแตกต่างจากคำสั่งชั่วคราว ศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำอธิบายที่หนักแน่นมาก" 

 นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้สิ่งที่สังคมอยากเห็นคือการเริ่มต้นกันใหม่ จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกเปิดทางให้สภาเลือกนายกฯใหม่ แต่จะอยู่ตำแหน่งไม่นาน นานพอที่จะจัดการเลือกตั้ง คืนอำนาจให้ประชาชน ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย แต่ตอนนี้อยู่ที่เงื่อนไขมาตรา 272 ที่สภากำลังพิจารณาในขณะนี้จะปิดสาวิตซ์ส.ว.จึงอยากวิงวอนพล.อ.ประยุทธ์ลาออกดีกว่า ท่านอยู่มานานเกินพอแล้ว ได้มาทุกอย่างแล้ว 8 ปี ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว พอได้แล้ว เปิดทางให้สภาเลือกนากยฯที่เหมาะสม ยึดโยงกับประชาชน และอยากขอร้องให้ส.ว.ยกเลิกอำนาจเลือกนายกฯ เป็นนายกฯยึดโยงประชาชน เป็นการคืนอำนาจคืนให้ประชาชนผ่านสภา และภารกิจสู่การเลือกตั้ง ถ้าทำเสร็จประเทศไทยเดินต่อทันที  ไม่มีเดตล็อคติดขัดทางการเมืองเลย หวังว่าทุกคนพอได้แล้ว                                                 
    
 วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง สัญญาณเลือกตั้งใหญ่ ปี 2566 ระบุว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกฯ 8 ปี) ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้กระแสข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆทางการเมืองในช่วงนี้ค่อนข้างร้อนแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะประเด็นการ ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ กำลังเป็นที่จับตามองและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน สวนดุสิตโพลได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,128 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 3-6 ก.ย.65 สรุปผลได้ 1.กระแสข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ ทำให้ประชาชนสนใจติดตามข่าวการเมืองมากน้อยเพียงใด สนใจติดตามข่าวมากขึ้น 50.45% สนใจติดตามข่าวเหมือนเดิม 40.98% และสนใจติดตามข่าวน้อยลง 8.57%
     
2.ประชาชนคิดอย่างไร กับกระแสข่าวที่ว่าอาจจะมีการ ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกฯ 8 ปี) ยุติการปฏิบัติหน้าที่ น่าจะเป็นไปได้ 53.92% ไม่น่าจะเป็นไปได้ 35.74% และเป็นไปไม่ได้ 10.34% 3.ในการเลือกตั้งครั้งต่อไประหว่างผู้สมัครในพรรคฝ่ายรัฐบาลกับผู้สมัครในพรรคฝ่ายค้าน ประชาชนคิดว่าใครได้เปรียบกว่ากัน ผู้สมัครในพรรคฝ่ายค้าน 52.75% ผู้สมัครในพรรคฝ่ายรัฐบาล 41.84% และพอๆกัน 5.41% 4.ประชาชนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีการซื้อสิทธิขายเสียงมากน้อยเพียงใด มากขึ้น 56.56% เหมือนเดิม 38.71% และน้อยลง 4.73%
     
5.สิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือก ส.ส. ครั้งต่อไป คืออะไร อันดับ 1 พรรคที่สังกัด 70.10%อันดับ 2 ตัวผู้สมัคร 64.51% อันดับ 3 เป็นคนดี ประวัติดี ซื่อสัตย์ 59.98% อันดับ 4 เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ 52.80%
อันดับ 5 ขยัน ตั้งใจทำงาน 50.67% 6.ประชาชนคิดว่าการทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ของพรรคการเมืองและส.ส. มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ มีผล 90.84% และไม่มีผล 9.16%
     
7.ประชาชนคิดว่าสถานการณ์การเมืองไทยหลังจากนี้จะร้อนแรงมากขึ้นหรือไม่ มากขึ้น 68.29% เหมือนเดิม 27.18% และลดลง 4.53% 8. ประชาชนอยากเห็นการเมืองไทยเชิงสร้างสรรค์เป็นอย่างไร อันดับ 1 ต้องทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน 24.35% อันดับ 2 แข่งขันกันด้วยความรู้ ความสามารถ และผลงาน ไม่ใส่ร้ายป้ายสี 19.56% อันดับ 3 ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน ร่วมมือกันทำงาน 18.27% อันดับ 4 เป็นนักการเมืองที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดี ซื่อสัตย์ สุจริต 16.61% อันดับ 5 เป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ 13.28%
    
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แจ้งสื่อมวลชนว่า วันเดียวกันนี้ เวลา 14.30 น. นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จะมีการแถลงข่าวเกี่ยวข้องกับกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุม ในวันที่ 8 ก.ย. ที่ห้องรับรองสื่อมวลชน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ 
    
 โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้เรียกประชุมนัดพิเศษในวันพฤหัสที่ 8 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาปมนายกฯ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีการนัดประชุมมาก่อน มีเพียงการนัดประชุมในวันที่ 14 ก.ย. นี้ เพื่อลงมติวินิจฉัยกรณีความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีของ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย หรือไม่
 ด้าน  ผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul ระบุว่า  ขอแค่สิ่งที่ คสช.ยึดไปในปี 2557 คืนให้ประชาชน  คืนอำนาจเลือกนายกฯ ผ่าน ส.ส.ให้ประชาชน ตัดอำนาจ ส.วเลือกนายกฯ
     
คณะรัฐประหารทุกคณะล้วนแต่อยากให้ ส.ว.ที่ตัวเองเลือก มีอำนาจเลือกนายกฯ ทั้งสิ้น เพื่อเป็นหลักประกันในการสืบทอดอำนาจต่อไปหลังเลือกตั้ง แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ จนกระทั่งคสช.ที่ยึดอำนาจไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว ที่คราวนี้ทำสำเร็จก็เพราะฝีมือ อาจารย์มีชัย ฤชุพันธ์ ที่สรุปบทเรียนจากร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2534 ที่อาจารย์มีชัยก็เป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญ ตอนนั้นอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ อยู่ในร่างแรกเลย ผลคือถูกนักศึกษาประชาชนประท้วงจนต้องยอมแก้ในวาระสองตัดอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกฯออกไป

     ในคราวนี้อาจารย์มีชัย จึงเอาอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ แยกออกมา แล้วเรียกว่าเป็น คำถามเพิ่มเติม หรือคำถามพ่วง แล้วก็ไม่ยอมถามตรงๆ ว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่ ส.ว.ที่คสช.เลือกจะมีอำนาจเลือกนายกฯ แต่ไปใช้ถ้อยคำว่า ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา คนจำนวนมากอยากให้มีเลือกตั้งเสียที อ่านคำถามเพิ่มเติมแล้วนึกไม่มีอะไร เมื่อโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ก็โหวตรับคำถามพ่วงด้วย
 
    อย่าลืมว่าตอนนั้นคนที่ค้านจะรณรงค์ค้าน หรือบอกประชาชนเรื่องนี้ก็ทำไม่ค่อยได้เพราะจะถูกจับ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็แถลงสองวันก่อนถึงวันลงประชามติว่า จะไม่สืบทอดอำนาจ แล้วผลประชามติในเรื่องนี้ ซึ่งทำกันแบบมัดมือชก ก็ไม่ได้ชนะขาดลอยแ