ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จังหวัดกาญจนบุรี มี 13 อำเภอ แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 5 เขต มี ส.ส.ได้ 5 คน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็น สส.ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย เขต 1.พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เขต 2.นายสมเกียรติ วอนเพียร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)เขต 3.นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เขต 4.นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และเขต 5.นายอัฏฐพล โพธิพิพิธ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และในแต่ละเขตยังไม่แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใครลงประกวดแข่งกับ ส.ส. เดิม ต้องเฝ้าติดตามใกล้ชิด นับแต่นี้ไป

    สำหรับสถานการณ์ทางด้านการเมือง ณ ปัจจุบัน คาดว่าอาจจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเร็วนี้ ที่ผ่านมาจังหวัดกาญจนบุรี มีพรรคเพื่อไทย (พท.)เพียงพรรคเดียวที่ได้เปิดตัวผู้สมัครอย่างเป็นทางการ 2 คน 2 เขตเลือกตั้ง ประกอบด้วย เขต 1.นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ และเขต 2.นายชูเกียรติ จีนาภักดิ์ ส่วนที่เหลืออีก 3 เขตเลือกตั้ง ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าพรรคเพื่อไทย จะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครวันไหน แต่ที่แน่ๆคือ พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 3 ได้สลับขั้วขึ้นป้ายขนาดใหญ่เพื่อประกาศตัวลงสมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 3 แล้ว

    ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย (ภท.)ปัจจุบันมีนายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน หรือกุ๊ก เป็น ส.ส.เขต 3 ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ส.ค.65 ที่ผ่านมา นายปรเมศ โพธารากุล หรือกำนันบอย อดีต ส.ส.จ.กาญจนบุรี เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ได้สลับขั้วด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิกแล้วหันมาซบพรรคภูมิใจไทย อย่างเต็มตัว

    สำหรับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรี พรรคภูมิใจไทย ที่น่าจับตามองอีก 1 คนคือ ดร.วรสุดา สุขารมณ์ หรือ “ดร.จุ๊บ”ว่าที่ผู้สมัคร เขต 1 โดย ดร.จุ๊บ เป็นบุตรสาวของนาวาโท นายแพทย์ เดชา สุขารมณ์ อดีต สส.คนดังกาญจนบุรี 6 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย และอดีต รมช.สาธารณสุข ซึ่งนาวาโทนายแพทย์เดชา สุขารมณ์ ได้จากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2564 ด้วยอายุ 86 ปี ตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดร.จุ๊บ ได้ลงพื้นที่พบปะและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เขต 1 อ.เมืองกาญจนบุรีและ อ.ศรีสวัสดิ์  มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชนเป็นอย่างดี

     

ทั้งนี้ ดร.วรสุดา สุขารมณ์ หรือ ดร.จุ๊บ กล่าวว่า " จุ๊บเติบโตมาในโรงพยาบาล เนื่องจากคุณพ่อเป็นแพทย์ ชีวิตที่เราเห็นจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ให้ อยู่ตลอดเวลา ด้วยการเป็นลูกสาวของนักการเมือง ที่มีคุณพ่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต จุ๊บได้ติดตามคุณพ่อลงพื้นที่ไปทำกิจกรรมการเมืองต่างๆ ทั้งการออกพื้นที่ ไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ขาดแคลนในหลายๆจังหวัด ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ควบคู่กันมาโดยตลอด จึงทำให้เห็นความแตกต่าง เหลื่อมล้ำของผู้คน ความไม่เท่ากันในทุกด้าน รวมถึงการขาดโอกาสที่จะสร้างชีวิตที่เสมอภาคเทียบเท่า ทำให้เราเข้าใจสภาพของสังคมในปัจจุบันและสิ่งนี้เอง ที่ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกด้าน สิ่งที่ได้ จากการติดตามคุณพ่อในวัยเด็กนั้น เป็นแรงบันดาลใจในหลายๆ ประการ ที่เป็นแรงผลักดันให้เข้ามาทำงานการเมือง เพื่อที่จะสร้างสังคมที่ดีกว่าเพื่อประชาชน

    สำหรับแนวคิดทางการเมือง หลายๆ ท่าน พูดว่า การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ แต่ส่วนตัวจุ๊บคิดว่า การเมืองเป็นเรื่องของการทำประโยชน์มากกว่าสิ่งอื่นใด ชีวิตลูกนักการเมือง จะคุ้มค่าที่สุด ก็ต่อเมื่อได้ทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง คุณพ่อให้ข้อคิดแบบนี้มาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ยิ่งเราได้สัมผัสความเดือดร้อนของผู้คนมากเท่าใด เราก็ยิ่งรู้สึกว่า โอกาสที่จะมอบสิ่งดีดีให้บ้านเมือง คือ ต้องทำนโยบายที่เหมาะสมตั้งแต่ระดับประเทศ ลงมาสู่ประชาชน ความเข้าใจในปัญหาจากการลงพื้นที่ จะนำไปสู่กระบวนการตั้งโจทย์และบูรณาการในการ แก้ปัญหาร่วมกันทั้งภาครัฐ และภาคประชาชน สิ่งนี้หละที่จุ๊บอยากเห็น ประเทศไทยในมุมมองของการแก้ปัญหาที่ปัญหา ไม่ใช่การนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม แล้วคิดว่าอะไรเป็นปัญหา แล้วทำเป็นนโยบาย มันก็ ไม่ต่างจากจินตนาการแบบไร้แนวทาง แต่การแก้ปัญหาที่ปัญหา คือ ต้องรับฟังเสียงประชาชน ผ่าน กระบวนการทางความคิดร่วมกัน แล้วจึงวางแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ออกจากปัญหานั้นได้

    ส่วนอุดมการณ์ทางการเมืองนั้น ถ้าตั้งมั่นในประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่แล้ว พรรคการเมือง หรือ แนวคิดทางการเมือง จึงไม่ใช่ประเด็นหลัก แม้ว่าวันนี้ คนๆ เดียว อาจจะไม่สามารถ สร้างสังคมน่าอยู่ในอุดมคติได้ แต่การขับเคลื่อนแบบมีกลไกที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ น่าจะมาก่อน การจับกลุ่มในการทำงานด้านการเมือง และกลไกที่ชัดเจนนี้เอง ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเป้าประสงค์ของเรา

      “การแก้ไขปัญหาต่างๆได้ภายใต้การทำงานในด้านนโยบายรวมของประเทศ ด้วยการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร การก้าวย่างเข้าสู่การเป็นสังคมดิจิตอล แทนที่สังคมยุคอะนาล๊อก เราจะเห็นการเมืองยุคใหม่ ที่เปิดเผยแนวทางความคิดของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในทางตรงกันข้าม สังคมไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยก็ตาม แต่เราจะเห็นคนรุ่นใหม่ ออกมาให้ความคิดเห็น และมีแนวทางการเมืองที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่ามากขึ้น โดยแนวคิดของคนรุ่นใหม่ จะเป็นแนวคิดที่แตกต่างจาก คนรุ่นเก่าอย่างสุดขั้ว และผู้คนก็จะยอมรับมากขึ้น หากแนวคิดนั้นตอบโจทย์และมีความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาของผู้คนได้จริง ผู้คนจะเริ่มศรัทธาจากแนวความคิด ยอมรับในคุณวุฒิ มากกว่า วัยวุฒิ เช่นเดียวกับการศึกษายุคใหม่ ที่ใช้ประสบการณ์มากกว่าสิ่งที่อยู่ในตำรา สิ่งนี้ล่ะที่จะปฏิวัติการเมืองไทยได้ " ดร.วรสุดา สุขารมณ์ หรือ ดร.จุ๊บ กล่าว

     สำหรับประวัติด้านการศึกษาของ ดร.วรสุดา สุขารมณ์ หรือ ดร.จุ๊บ ปี 2527-2528 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ปี 2538-2542 สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหิดล (นานาชาติ)ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาการบริหารอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปี 2545-2547 สำเร็จการศึกษาระดับมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) หลักสูตรนักบริหาร และ ปี 2551 สำเร็จการศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

   

     ปัจจุบัน เป็นที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร ผู้ทรงคุณวุฒิประจำคณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎกาญจนบุรี ผู้ทรงคุณวุฒิประจำคณะกรรมการองค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดกาญจนบุรี คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดกาญจนบุรี และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมจังหวัดกาญจนบุรี

    โดย ดร.วรสุดา สุขารมณ์ หรือ ดร.จุ๊บ ปัจจุบันอายุ 45 ปี ส่วนจะฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคเข้าไปเป็น สส.ได้หรือไม่นั้น จะต้องรอฟังผลคะแนนในวันปิดหีบเลือกตั้ง ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด