เมื่อเวลา 15:45 น. วันที่ 2 กันยายน ร้อยตำรวจเอก สายยนต์ ขึ้นนกคุ่มร้อยเวร สภ.ชะอำ รับแจ้งเหตุมีบุคคลผู้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตที่บริเวณถนนคลองเทียนเทศบาลเมืองชะอำ จึงรายงานให้พันตำรวจเอกวายุภักษ์ วงศ์ศักรินทร์ ผกก.สภ. ชะอำทราบ และประสานแพทย์โรงพยาบาลชะอำเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและอาสาสมัคร มูลนิธิสว่างสรรเพชญธรรมสถาน ร่วมตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ริมถนนคลองเทียน ห่างจาก รพ.ชะอำ ประมาณ 1 กม. บริเวณหน้าห้องน้ำภายในร้านขายอาหารอีสาน ถนนคลองเทียนเขตเทศบาลเมืองชะอำพบศพนายผู้เสียชีวิต ทราบชื่อต่อมาคือนายกิตติภพ (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี ที่อยู่ ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเช่าซึ่งเป็นร้านขายข้าวมันไก่ที่อยู่ติดกัน ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่กลางหน้าอก 2 นัด ขาหนีบ 1 นัด ข้อมือขวา 1 นัด นอนเสียชีวิต ที่กำแพงบ้านพบรอยกระสุน 1 รอย
ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อต่อมาคือนายนิมิตร (สงวนนามสกุล)อายุ 38 ปี ที่อยู่ ต. ไผ่ใหญ่ อ. บ้านหมี่ จ. ลพบุรีซึ่งป็นบุตรชายเจ้าของบ้าน ยืนอุ้มบุตรสาววัย 3 ขวบพร้อมถืออาวุธปืนขนาด .38 รออยู่ที่หน้าบ้านที่เกิดเหตุ เจ้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวไว้พร้อมตรวจสอบอาวุธปืนพบปลอกกระสุนคาอยู่ในลูกโม่จำนวน 5 ปลอก
สอบถาม มารดาของ นายนิมิตรผู้ก่อเหตุเล่าว่า ตนและนายนิมิตรมาเช่าบ้านเปิดร้านขายอาหารอีสานอยู่ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี นานกว่าสิบปี ที่ผ่านมา นายนิมิตรมีอาการเครียด เพราะภรรยาได้หนีออกจากบ้านไปเมื่อหลายปีก่อน และมีพฤติกรรมเสพยาเสพติดจนบางครั้งมีอาการหลอนเพราะฤทธิ์ยา เมื่อคืนวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมานายนิมิตรเสพยาและหลอนระแวงว่าภรรยาของตนได้กลับมาและเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของนายกิตติภพผู้เสียชีวิต ซึ่งอยู่ติดกัน นายนิมิตรจึงปีนเข้าไปที่บ้านนายกิตติภพในเวลากลางดึก นายกิตติภพได้ยืนยันว่าภรรยานายนิมิตรไม่ได้อยู่ในบ้านของตนนายนิมิตรจึงกลับเข้าบ้านกระทั่งวันนี้เวลาประมาณ 14.30 น.ก่อนเกิดเหตุนายนิมิตรได้แอบปีนกำแพงเข้าหลังบ้านนายกิตติภพ และพยายามค้นหาภรรยาของตนอีกครั้ง ขณะนั้นนายกิตติภพพบเห็นจึงโวยวายว่าขโมยเข้าบ้านและวิ่งตามนายนิมิตร ที่วิ่งดลับไปอยู่ในห้องนำ้ในบ้านตนเอง โดยเมื่อนายกิตติภพผู้ตายวิ่งตามเข้ามา และเคาะประตูห้องน้ำเรียกนายนิมิตรได้เปิดประตูห้องนำ้ออกมาและใช้อาวุธปืนขนาด 38 ยิงใส่นายกิตติภพจำนวน 5 นัดทันทีทำให้นายกิตติภพเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายนิมิตเพื่อทำการสอบสวนหาสาเหตุอีกครั้ง และจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป