ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“การถ่อมตน...ถือเป็นความงามแห่งวัตรปฏิบัติอันนบน้อมของชีวิต...ที่มีคุณค่ายิ่ง..มันคือรากฐานของการโน้มนำมารยาทอันดีงามมาสู่ชีวิต...ด้วยความนบน้อม...ที่ตั้งอยู่เหนือมายาจริตใดๆ...แท้จริงแล้วการรู้จักถึงการถ่อมตนเป็นคุณค่าที่สื่อผ่านออกมาจากหัวใจ...สื่อผ่านผู้อื่นอย่างแม่นตรง...ท่ามกลางบรรยากาศของเจตจำนงแห่งความกรุณาอันบริสุทธิ์...เป็นบุคลิกภาพของความสุขแท้...ในจรรยาบรรณแห่งมารยาทอันควรแก่การยกย่อง...อย่างไม่สิ้นสุด...”

“ศิลปะแห่งการถ่อมตน”...หนังสือแห่งชีวิตงามที่เขียนโดย “หลิว หย่ง เซิง”.ผู้เขียนหนังสืออันมีค่ามากมายอย่าง “วิถีแห่งหมาป่า”/ “รายละเอียดตัดสินความสำเร็จ” หรือ... “ลักษณะนิสัยกำหนดโชคชะตา”/....ทั้งหมดถือเป็นกฎแห่งการประพฤติปฏิบัติที่นบน้อมต่อชีวิตในท่วงทำนองที่ว่า...การอ่อนน้อมถ่อมตนในการใช้ชีวิต จะส่งผลให้ทุกคนสวยงามและสงบสุข กระทั่งก่อให้เกิดความสำเร็จขึ้นได้ในท้ายที่สุด หนังสือเล่มนี้แปลโดย วันวิสา ศักดิ์สัมพันธ์กุล

ว่ากันว่า การอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ได้หมายถึงว่า คุณเป็นคนอ่อนแอ และมิได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว แต่มันกลับคือการแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของตน...รวมทั้งการอ่อนน้อมถ่อมตนของชีวิตในการใช้ชีวิต...อันจะทำให้บังเกิดเป็นความสุขสงบ จนสามารถเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้...และเมื่อใดก็ตามที่คุณชอบโอ้อวดตัวเอง และ ทำให้คนอื่นเสียหน้า...โดยไม่รู้ตัว...คนอื่นเขาก็จะไม่ชอบคุณ แล้วที่สุดคุณก็ต้องเจอเรื่องยากลำบากมากขึ้น...หรือถ้าคุณชอบโอ้อวดผู้อื่น...คุณก็จำเป็นต้องหยุดพฤติกรรมนั้นเสีย...

การที่คนเราใช้ชีวิตอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน จะทำให้ชีวิตสวยงาม...และประสบความสำเร็จอย่างที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น..จะเห็นได้จากคำพูดโบราณของชาวจีน และเรื่องราวต่างๆที่พูดถึงเกี่ยวกับนัยแห่งความคิดนี้...การเน้นประเด็นสำคัญไปที่การอ่อนน้อมถ่อมตัว ตอกย้ำให้เห็นถึงว่าการใช้ชีวิตนั้นๆ...จักทำให้เราทำทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ก่อเกิดสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ในระดับที่ดี..อันจะก่อเกิดเป็นความสุขสำเร็จขึ้น...

เจตจำนงของหนังสือเล่มนี้...จึ่งคือการส่งเสริมและชุบชูชีวิต...มันทำให้ตนในตนมีหนทางแห่งการรู้ตัวทั่วพร้อมในการจะเริ่มต้นสร้างอนาคตของชีวิตขึ้นมา...อย่างมีมิติอันชวนนบน้อมและใคร่ครวญ...ดั่งเช่น..

*เราต้องฝึกใจในการพึงพอใจต่อการปล่อยให้คนอื่นได้ทำตัวสูงส่งเสียดฟ้า....โดยที่เราต้องหัดทำตัวติดดินเพื่อให้ใกล้ชิดกับผู้คน..ซึ่งเป็นวิถีสำคัญในการปฏิบัติของการอยู่ร่วมที่ผสานสมดุลอย่างลึกซึ้ง..

*ปล่อยให้คนอื่นอวดเก่งไปต่อหน้าของเรา...แต่เราต้องไม่หยุดพัฒนาชีวิต...เรียนรู้และ เข้าใจในสรรพสิ่งที่เป็นมวลความรู้รอบด้าน ด้วยสมองกาย ใจที่จดจ่อในทุกขณะ เพื่อการเคลื่อนขยายปัญญาญาณไปเบื้องหน้าอย่างมั่นคงและเป็นแบบอย่าง..

*ต้องระมัดระวังในการพูดของตน...ถ้อยคำทุกถ้อยคำของเรามีความสำคัญยิ่งต่อชีวิต...อย่าปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านี้กลับมาทำลายเรา...คนอื่นจะพูดไม่ดีเช่นไรเป็นเรื่องของเขาที่จะต้องได้รับผลตอบแทนเฉพาะตัวเขาเอง...

*ปล่อยให้คนอื่นต่อสู้กันไป...บางทีการถอยออกมาจากสังเวียนการต่อสู้ก็จะทำให้เราต้องมองเห็นช่องทางของชัยชนะได้อย่างพินิจพิเคราะห์ โดยไม่ต้องถลำลงไป...สู่บริบทของการต่อสู้อันยากลำบากและบาดเจ็บนั้น...

*และนั่นหมายถึงว่า...เราทุกคนจะตระหนักรู้ในความยากลำบากในทุกๆ...วิกฤตได้มากยิ่งขึ้น...วิกฤตการณ์ของชีวิตจะสอนให้เราพบกับการเรียนรู้ที่จะอยู่รอดได้ดีและชัดเจนที่สุดหากเราพร้อมจะตระหนักกับมัน..

*อย่าโอ้อวดตัวเองต่อหน้าคนอื่น...ใครจะทำก็ปล่อยให้เขาทำไป...เพราะการโอ้อวดตัวเอง คือการขยายความไม่รู้ที่อ่อนหัดสู่ห้วงคำนึงของคนอื่น...มันคือต้นรากของข้อวินิจฉัยอันจะนำไปสู่การหมิ่นแคลนหาใช่การยกย่องนับถือแต่อย่างใดไม่...

*ปล่อยให้คนอื่นๆพูดตรงๆกันไป...แต่ตัวเราต้องรู้จักที่จะยืดหยุ่นในการพูดกับคนอื่น...นั่นคือวิถีแห่งการผ่อนสั้นผ่อนยาว...ความยืดหยุ่น

*ปล่อยให้คนสรรเสริญตัวเองอย่างลุ่มหลงกันไป..แต่คุณต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองรวมทั้งจักต้องถ่อมตัวคุณเองเสมอ...นั่นเป็นวิถีอันชาญฉลาด...สงบงามในถ่อมตัวคือการใช้อาวุธที่อยู่เหนือผู้อื่นอย่างเยียบเย็นและชาญฉลาดที่สุด...และ...ที่สุดแล้ว...

*ปล่อยให้คนอื่นขัดแย้งทะเลาะกันไป...โดยเราจะดำรงชีวิตอย่างศานติ ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีทิศทางที่ไม่มืดมนขัดแย้ง...นี่คือภาวะเบื้องต้นของการเรียนรู้ที่จะถ่อมตน...อันจริงแท้..

วิถีปฏิบัติเบื้องต้น...คือการใคร่ครวญที่ได้รับจากแสงฉายในการตีความจากการอ่านหนังสือในลักษณะนี้...ที่มีประเด็นแห่งการสอนสั่งให้จับต้องมากมายเป็นกลวิธี...ที่ชีวิตต้องเพียรพยายามที่จะต้องสัมผัส...มันคือเจตจำนงของบทเรียนอันยากจะปล่อยผ่าน...ขณะที่ชีวิตมนุษย์โดยรวมของพวกเขาต่างถูกสอนให้ตั้งอยู่กับสัญชาตญาณแห่งความทะยานอยากอยู่ซ้ำๆ เหตุนี้...โลกแห่งชีวิตมนุษย์จึงต้องล้มคว่ำล้มหงายในการแก่งแย่งชิงดี...กันอย่างไม่จบสิ้น..

แทบไม่น่าเชื่อว่า...อุปนิสัยของการถ่อมตัว จะเลือนหายไปจากสายทางปฏิบัติของชีวิตอันควรจะเป็น...มันหายไปสู่เจตนาแห่งอัตตา ที่ถมทับสำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดีไปอย่างกลืนกลาย...ระหว่างความมืดดำกับความสุกสว่าง...ระหว่างความมีน้ำใจกับความแล้งไร้น้ำใจ...นั่นจึงหมายถึงว่า...ชีวิตของเราโดยทั่วไปแล้วแข็งกระด้างและไม่เป็นแบบอย่างที่จะสร้างสรรค์การมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบขึ้นมาได้...มันคือความแข็งกระด้างทางจิตวิญญาณที่ประหัตประหารโลกแห่งการมีชีวิตอยู่ในทุกวันเวลา...เช่นนั้น..

เมื่อใดก็ตามที่ได้อ่านงานเขียนของ”หลิว หย่ง เซิง”เราจะพบกับความสุข ความสุขที่สื่อผ่านการโบยตีด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ถึงความไม่รู้แกนหลักในชีวิตที่สมควรจะเป็นของเรา...เหมือนเช่นใจความอันแม่นตรงและบาดลึกของ หนังสือเล่มนี้ที่ว่า...กว่าจะรู้สึกถึงการถ่อมตน...ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตก็อาจจะเปิดไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว....!

“ต้องหัดทำตัวติดดิน...เมื่อเห็นคนอื่นตะเกียกตะกายทำตัวให้สูงส่งเสียดฟ้า....”