ชูขับเคลื่อน 4 ข้อหลัก “ที่อยู่อาศัยกลุ่มเปราะบางและยากจน-รายได้เพียงพอ-พัฒนาศักยภาพ-เครื่องมือประเมินความมีชีวิตชีวาผู้สูงอายุ” หวังสร้างสังคมสูงวัยแบบพฤฒพลัง หรือพลังผู้เฒ่าอย่างยั่งยืนภายใต้วิถีชีวิตใหม่

วันที่ 30 ส.ค.2565 มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ร่วมกับสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดงานเปิดคลังความรู้ มส.ผส. 2565 “การเตรียมความพร้อมรอบด้านในสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์สู่สังคมไทยที่มีสุขอย่างยั่งยืน” โดยมีการนำเสนอผลงานวิจัยและเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ เพื่อเตรียมรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ภายใต้แผนงานวิจัยท้าทายไทย เรื่อง “สังคมสูงวัยที่ยั่งยืนภายใต้วิถีชีวิตใหม่” เกิดเป็นชุดงานวิจัยและกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วมเชิงนโยบายผ่านกระบวนการ Policy Dialogue Process จำนวนทั้งหมด 18 เรื่อง

ดร.นพ.ภูษิต ประคองสาย เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย(มส.ผส.) กล่าวว่า มส.ผส. ร่วมกับภาคีเครือข่ายได้ดำเนินการศึกษาและวิจัยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย ทั้งเชิงสถานการณ์และหาช่องว่างทางความรู้ในการพัฒนานโยบายของประเทศให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 มุ่งสู่ Active & Productive Ageing ตลอดจนนำองค์ความรู้ปรับใช้ และผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายสู่องค์กรหลักที่เกี่ยวข้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้สูงอายุไทยสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างเต็มศักยภาพ โดยมีเป้าหมาย 4 ประเด็น ได้แก่ 1. การมีที่อยู่อาศัยและการได้รับบริการที่เหมาะสมโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีเศรษฐานะยากจนและเป็นกลุ่มเปราะบาง 2. ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและการมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดํารงชีพอย่างมีคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ 3. การพัฒนาโครงสร้างและนโยบายของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุในชุมชน และ 4. พัฒนาระบบข้อมูลและตัวชี้วัดสําหรับประเมินศักยภาพ ภาวะพฤฒิพลัง และความต้องการด้านบริการสุขภาพ และบริการทางสังคมสําหรับผู้สูงอายุ

ขณะที่ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย และ ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ควรปฏิรูประบบบํานาญและการจ่ายเบี้ยยังชีพที่เหมาะสมสําหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย เสนอให้มีการปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เดือนละ 3,000 บาท และออกแบบระบบบํานาญแห่งชาติ สามารถพัฒนาไปได้ถึงระดับมัธยฐานของการครองชีพสําหรับครัวเรือนไทยที่ 6,000 บาท/เดือน โดยให้ผู้ทํางานอยู่นอกระบบสามารถทําการออมและให้รัฐบาลร่วมสมทบการออมในสัดส่วนเดียวกันซึ่งจะใช้งบประมาณทั้งหมดไม่สูงกว่าระบบบํานาญภาครัฐ ทั้งนี้คณะผู้วิจัยเสนอแก้ไขกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นข้อจํากัด สร้างระบบฐานข้อมูล ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและเสนอให้มีการทบทวนนิยาม “การเริ่มนับอายุของผู้สูงอายุ” ให้เพิ่มมากกว่า 60 ปี และขยายเวลาในการ “เกษียณอายุ”จากการทำงาน (ทั้งภาครัฐและเอกชน)

ด้านนางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล หัวหน้าภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ด้านการเตรียมรับสังคมสูงวัย (ววน.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา วช.กำหนดทิศทางการสนับสนุนการวิจัยที่สอดคล้องกับแผน ววน. พัฒนาสังคมสูงวัยด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 2 ด้าน คือ 1.การพัฒนาผู้สูงอายุในภาคชนบทและเมืองให้มีศักยภาพในการพึ่งตนเอง มีคุณค่า และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สังคม 2.การพัฒนานวัตกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมของวัยแรงงานในภาคชนบทและเมือง เข้าสู่การเป็นผู้สูงวัย เพื่อให้ประเทศมีความพร้อมในการเป็นสังคมสูงวัย ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและการอยู่ร่วมกันของคนทุกช่วงวัย รวมทั้งส่งเสริมให้ประชากรไทยช่วงวัยแรงงาน (25-59 ปี) มีการเตรียมการเข้าสู่วัยสูงอายุด้วยการใช้ผลงานวิจัย องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

อย่างไรก็ตามการร่วมมือกับ มส.ผส.และภาคีเครือข่ายในครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุของวช.ที่ต้องการเห็นผู้สูงอายุมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม เอื้อต่อการดำรงชีวติ คนในครอบครัวต่างช่วยกันดูแลผู้สูงอายุ  พร้อมทั้งส่งเสริมให้ อปท. และชุมชน ปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ พร้อมยกระดับมาตรฐานที่อยู่อาศัยและการดูแลผู้สูงอายุ