“ศาลอุทธรณ์” ยืนประหาร "บรรยิน" คดีฆ่า "เสี่ยจืด" ปมปกปิดการโอนหุ้นกว่า 200 ล้านให้โบรกเกอร์-พริตตี้ ด้าน “พี่สาว”ขอบคุณศาลให้ความเป็นธรรม
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 25 ส.ค.65 ที่ศาลอาญาพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีฆ่าเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมารายใหญ่ หมายเลขดำ อ.4915/2559 ที่ นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับประเทศ กับพวก และพนักงานอัยการ ร่วมกันเป็นโจทก์ที่ 1 - 5 ยื่นฟ้อง นายบรรยิน หรืออดีต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7)
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2558 นายชูวงษ์ อายุ 50 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัสสีดำ ทะเบียน ภฉ 1889 กทม.ชนต้นไม้ โดยมี พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย เป็นคนขับ มีนายชูวงษ์นั่งข้างๆ และเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนต้นไม้ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย 50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม.เป็นเหตุให้นายชูวงษ์ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ ต.บางโฉลง กับ ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และแขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องเกี่ยวกัน โดยนายบรรยิน จำเลย ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด อ้างเป็นอุบัติเหตุ โดยศาลอาญาพระโขนงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์
ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหาแล้ว เห็นว่า วันเกิดเหตุ จำเลยอาศัยความเป็นเพื่อนสนิท ชักชวนผู้ตายมาตีกอลฟกับผู้ใหญ่ แล้วออกจากสนามกอล์ฟเลควู้ด และอยู่กับผู้ตายเป็นคนสุดท้ายเวลา 20.11 น.โดยขับรถยนต์มากัน 2 คน โดยมีผู้ตายนั่งด้านข้าง จนรถมาถึงระหว่าง กม.ที่ 48 - 50 ในเวลา 22.21 น.ทั้งที่ห่างเพียง 3.7 กม.ใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งนานเกินไป
ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า ขับรถโดยใช้ความเร็ว 80 กม.ต่อชม.แล้วหักหลบรถที่แซงล้ำมาในช่องทาง แต่เมื่อพยานโจทก์ตรวจสอบดูแล้ว ไม่พบรถขับสวนมาตามข้อกล่าวอ้าง และพบว่าจำเลยขับรถโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กม.ต่อชม.เท่านั้น ขณะที่การชันสูตรพลิกศพพบว่า ผู้ตายไม่ได้เสียชีวิตจากรถยนต์ขับไปชนต้นไม้ แต่เกิดจากการที่จำเลยกับพวก ที่ไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันใช้ของแข็งตีที่ใต้ศีรษะผู้ตาย เมื่อพิจารณาจากรอยช้ำที่ใบหน้า เปลือกตา ม่านตา อาหารในกระเพาะอาหาร เชื่อว่า ผู้ตายเสียชีวิตก่อนเวลา 22.00 น.
นอกจากนี้ โจทกร่วมและญาติ ตรวจสอบพบหลักฐานการโอนหุ้นปลอม 2 ครั้ง ให้กลุ่มจำเลยจำนวน 30 ล้านบาท และจำนวน 228 ล้านบาท ให้กับ น.ส.อุรชา หรือ ป้อนข้าว วชิรกุลฑล อดีตเจ้าหน้าที่การตลาด หรือโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กับพวกทั้งที่ไม่ใช่ญาติ ซึ่ง น.ส.อุรชา ก็มีความสัมพันธ์กับจำเลย เชื่อว่าจำเลยต้องการปกปิดการโอนหุ้นมิให้ผู้ตายรู้ เพื่อปิดการโอนหุ้นโดยทุจริต ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ฐานปลอมแปลงเอกสารการหุ้นรวม 8 ปี ส่วนจำเลยอื่นๆ จำคุกคนละ 4 ปี ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ในความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อปกปิดการกระทำผิดของตนมานั้นเหมาะสมกับความผิดแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ภายหลังหลังฟังคำพิพากษา นางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด ระบุว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งตนพอใจกับคำพิพากษา โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนประหารชีวิตจำเลย เราต่อสู้กันยาวนาน วันนี้ครบ 7 ปี การสืบพยานมีความยากลำบาก เพราะจำเลยเป็นผู้รู้กฎหมายและเป็นอดีตตำรวจ การที่เราสามารถสืบพยานจนศาลลงโทษประหารจำเลยได้ ต้องขอบคุณกองปราบปราม และกองพิสูจน์หลักฐาน ที่เก็บหลักฐานด้วยความยากลำบาก รวมถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้พิสูจน์ความเร็วรถ และมีผู้เชี่ยวชาญหลายภาคส่วน รวมทั้งแพทย์ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสียชีวิต แม้คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยาน แต่บาดแผลบนศพของผู้ตายถือเป็นประจักษ์พยานที่ทำให้ศาลรับฟังร่วมกับพยานทางวิทยาศาสตร์ และพยานผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ เท่ากับจำเลยคนนี้ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ประหารชีวิตทั้ง 2 คดี คือคดีฆ่าเสี่ยชูวงษ์และคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา อย่างไรก็ตาม หากจำเลยยื่นฎีกา คิดว่าคดีก็ไม่น่าจะช้า ส่วนคดีแพ่งในส่วนของหุ้นก็รอศาลอุทธรณ์อยู่