วันที่(​ 25​ ส.ค.65)​นายบรรยง​ วิทยวีรศักดิ์​ กูรูวงการประกัน​ และ​และอดีตประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA)   ได้โพสต์บนเพจเฟสบุ๊คไว้เป็นประเด็นข้อคิดเตือนสติผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว​ โดยจั่วหัวว่า​ "ทำไม เราจึงควรทบทวนกรมธรรม์ประกันชีวิตอย่างสม่ำเสมอ" 

เชื่อหรือไม่ว่า ผู้เอาประกันชีวิตส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่า ตนซื้อสัญญาคุ้มครองอะไรบ้าง วงเงินเท่าไร ขณะที่ตัวแทนประกันชีวิตก็จำข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าได้ไม่หมดทุกคน เนื่องจากมีลูกค้านับร้อยรายที่ต้องดูแล

ยังไม่ต้องพูดถึงกรมธรรม์ที่ผ่านมา 20 ปี ซึ่งทั้งตัวแทนและลูกค้าต่างก็จำไม่ได้ว่า ตอนนั้นใส่ชื่อใครเป็นผู้รับประโยชน์ โดยเฉพาะคนที่แต่งงานภายหลัง ซึ่งมักจะจำไม่ได้ว่าเปลี่ยนชื่อผู้รับประโยชน์เป็นภรรยาหรือสามีแล้วหรือไม่

ลองคิดดูว่า ถ้าผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานและใส่ชื่อภรรยาเป็นผู้รับประโยชน์ แล้วเลิกรากันด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดี ต่อมา สามีแต่งงานใหม่ แต่ลืมเปลี่ยนชื่อผู้รับประโยชน์เป็นภรรยาคนใหม่ ภรรยาคนใหม่ขยันขันแข็ง ช่วยกันทำมาหากิน ซ้ำยังช่วยเป็นธุระในการจ่ายเบี้ยประกันตลอดสิบปีที่ผ่านมา แต่ไม่กล้าซักถามว่ากรมธรรม์ที่สามีทำอยู่เดิม ใครเป็นผู้รับประโยชน์

วันดีคืนดี สามีเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกระทันหัน ไม่ทันได้สั่งเสีย ภรรยาจึงเรียกตัวแทนประกันชีวิตมาทำเรื่องเรียกร้องสินไหม แต่เมื่อเปิดดูในกรมธรรม์ปรากฏว่าภรรยาคนแรกเป็นผู้รับประโยชน์ ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้จริงๆ ทั้งตัวแทนประกันชีวิตและภรรยาคนปัจจุบัน คงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจน่าดู แต่ปัญหาเหล่านี้ป้องกันได้ เพียงแค่มีการทบทวนกรมธรรม์เป็นระยะๆครับ

เหตุผล 5 ประการ ว่าทำไมเราต้องทบทวนกรมธรรม์อย่างสม่ำเสมอ

1. ทบทวนข้อมูลของผู้เอาประกันชีวิต
เป็นธรรมดา ที่คนเราจะต้องมีการเปลี่ยนที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ลายเซ็น หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนนามสกุลสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานไป ข้อมูลเหล่านี้ บางทีผู้เอาประกันเองก็ลืมไปว่าต้องไปเปลี่ยนกับบริษัทประกันชีวิตด้วย ในกรณีเรื่องที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ ผู้เอาประกันอาจจะสังเกตเห็นได้ โดยการไม่ได้รับการติดต่อจากบริษัท แต่การเปลี่ยนนามสกุลจะมีผลเช่นเวลาเรียกร้องสินไหม ซึ่งต้องแนบเอกสารเพิ่มเติมเข้าไป ก็อาจจะมีความยุ่งยาก โดยเฉพาะตอนทำแฟกซ์เคลมกับโรงพยาบาล ต้องให้คนที่บ้านเอาใบเปลี่ยนนามสกุลมายืนยัน แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ล่วงหน้า โดยการเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวของเราให้ทันสมัยอยู่เสมอ

ในยุคดิจิตอล ข้อมูลหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือ อีเมลส่วนตัว (email address) เพราะดูเหมือนอีเมลจะเป็นหนึ่งในข้อมูลส่วนบุคคล ที่ใช้ยืนยันตัวตน และเรามักจะพยายามใช้อีเมลเดิมไปตลอดชีวิต ดังนั้น จึงควรมีการแจ้งอีเมล ไว้กับบริษัทประกันชีวิตด้วย ในกรณีที่มีการโยกย้ายที่อยู่ อีเมลยังคงติดตามเราไปทุกที่ทุกแห่ง แม้กระทั่งในต่างประเทศ เราจึงควรแจ้งอีเมลส่วนตัวของเราไว้กับบริษัทเสมอ

อีกหนึ่งข้อมูล ที่ต้องปรับใช้ให้เหมาะสมกับชีวิตยุคใหม่ ก็คือการแจ้งหมายเลขบัญชีเพื่อให้บริษัทโอนเงินเข้าบัญชีของเราโดยอัตโนมัติ ในอดีต บริษัทใช้วิธีจ่ายผลประโยชน์ของลูกค้าด้วยเช็ค ผ่านทางไปรษณีย์บ้าง ผ่านตัวแทนประกันชีวิตบ้าง แต่ระยะหลังพบว่าเช็คที่ส่งผ่านไปรษณีย์มักจะตกหล่นอยู่เสมอ ขณะที่เช็คผ่านตัวแทนก็ต้องใช้เวลาในการนัดหมาย อาจจะทำให้ล่าช้าไป 3-4 วัน  ดังนั้น การแจ้งหมายเลขบัญชีของเราไว้กับบริษัท เพื่อที่จะรับโอนผลประโยชน์ได้ทันที จึงเป็นสิ่งที่สมควรจะต้องอัพเดทกันเป็นประจำครับ

2. ทบทวนสวัสดิการหรือผลประโยชน์ที่ซื้อไว้
เป็นความจริงที่ว่า ผู้เอาประกันส่วนใหญ่จำไม่ได้ว่า ซื้อสัญญาเพิ่มเติมอะไรไว้บ้าง วงเงินคุ้มครองเท่าไหร่ ดังนั้น การที่ตัวแทนประกันชีวิตแวะไปทบทวนกรมธรรม์ของลูกค้าว่า สวัสดิการที่มีอยู่นั้น เป็นเท่าไหร่และปัจจุบันค่าห้องค่ารักษาในโรงพยาบาลไปถึงไหนแล้ว วงเงินที่ซื้อไว้เดิมมักไม่เพียงพอ จึงควรจะมีการปรับวงเงินขึ้น ตามอัตราเงินเฟ้อของค่ารักษาที่มักสูงกว่าเงินเฟ้อทั่วไป โดยท่านทั้งหลายอาจจะไม่เชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อสำหรับหมวดค่ารักษาพยาบาลอยู่ที่ปีละ 8-10% นั่นหมายความว่าผ่านไปประมาณ 10 ปี ค่ารักษาพยาบาลสำหรับโรคนั้นๆ ก็จะแพงขึ้นมาหนึ่งเท่าตัวเลยครับ

นอกจากสวัสดิการที่ตัวแทนต้องทบทวนให้ลูกค้ารับทราบแล้ว การทบทวนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์เรื่องภาษี ก็ควรที่จะต้องอัพเดทให้ลูกค้าทราบเป็นระยะๆ เพราะประมวลรัษฎากรมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มีการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี มีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ลดหย่อนได้มากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้สิทธิ์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เรื่องนี้ต้องมีการอัพเดทกันด้วยครับ

3. ตรวจสอบชื่อผู้รับประโยชน์
โดยทั่วไป คนที่ซื้อประกันชีวิตตั้งแต่อายุน้อย มักจะใส่ชื่อพ่อแม่เป็นผู้รับประโยชน์ เวลาผ่านไปหลายสิบปี พ่อแม่ได้เสียชีวิตแล้ว หากเราไม่ได้ทำเรื่องเปลี่ยนชื่อผู้รับประโยชน์ เงินสินไหมที่จะเกิดขึ้น จะตกเป็นกองมรดกของผู้เอาประกันชีวิต ก็ต้องใช้กฎหมายมรดกมาจัดสรรว่าจะตกกับใครบ้าง แต่จะดีกว่าไหม ถ้าหากผู้เอาประกันชีวิตจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า วันนี้จะให้ใครเป็นผู้รับประโยชน์ เช่น มอบให้น้องสาวที่ยอมครองตัวเป็นโสดเพื่ออยู่ดูแลพ่อแม่จนวาระสุดท้ายของชีวิต เราก็อยากจะตอบแทนบุญคุณของน้องสาว ด้วยการมอบสินไหมส่วนนี้ให้น้องสาวเป็นผู้รับประโยชน์ อันนี้เรามีสิทธิ์ทำได้ เพราะกรมธรรม์ถือเป็นพินัยกรรมรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

ในกรณีที่ผู้เอาประกันแต่งงานในเวลาต่อมา ผู้เขียนมักจะแนะนำลูกค้าว่า อย่าเปลี่ยนจากชื่อพ่อแม่เป็นภรรยาเลย ให้ซื้อกรมธรรม์ฉบับใหม่ มอบประโยชน์ให้กับภรรยา ส่วนของพ่อแม่นั้น ถ้าเกิดเราเป็นอะไรไปปุบปับ อย่างน้อยก็มีเงินทดแทนค่าน้ำนมให้กับท่าน แต่ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ดูแลท่านให้ดีที่สุด เมื่อท่านจากไปแล้ว ค่อยเปลี่ยนชื่อผู้รับประโยชน์เป็นภรรยาหรือลูก จะดีกว่าไหม

4. อัพเดทผลิตภัณฑ์
เป็นธรรมดา ที่ทุกบริษัทประกันชีวิตจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาแทบทุกปี เพื่อปรับวงเงิน เงื่อนไขให้สอดคล้องกับความจำเป็นและค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการเยียวยาผู้เอาประกันหรือผู้รับประโยชน์ ดังนั้น หากตัวแทนประกันชีวิต เข้าไปทบทวนกรมธรรม์ให้ลูกค้า จะได้ถือโอกาสแนะนำว่า ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ๆที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันบ้าง เช่น มีประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ออกแบบมาเพื่อครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่สูงมาก ระดับเป็นแสน เป็นล้านบาท หรือการคุ้มครองโรคร้ายแรง แบบเจอจ่ายจบ คือทันทีที่ตรวจพบโรคร้าย บริษัทจะจ่ายเงินก้อนให้เลยเป็นแสนเป็นล้าน เพื่อเป็นกองทุนรองรับในการวางแผนเพื่อรักษาโรคนั้นๆ ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ที่ไม่สามารถเบิกในประกันสุขภาพปกติได้ เช่น ค่าจ้างพยาบาลพิเศษ ค่าใช้จ่ายในการปรับห้องพักให้สอดคล้องกับอาการป่วยของผู้เอาประกัน ไม่ว่าจะเป็นการติดเครื่องฟอกอากาศ การซื้อรถเข็น หรือแม้กระทั่งเตียงพิเศษสำหรับผู้ป่วยหนัก

การแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเหล่านี้ มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ผู้เอาประกันจะได้รับทราบว่ามีผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ ที่เหมาะสมกับเรา และเราสามารถที่จะจัดซื้อให้กับตัวเราและคนในครอบครัวได้ ขณะที่ตัวแทนประกันชีวิต ก็มีโอกาสขายกรมธรรม์เล่มใหม่ ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้

5. สานสัมพันธ์
สำหรับตัวแทนประกันชีวิต นี่เป็นโอกาสอันดี ที่ท่านจะได้แวะเข้าไปเยี่ยมเยียนลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไปอัพเดทข้อมูลของลูกค้า อัพเดทผลิตภัณฑ์ ทั้งมีโอกาสเข้าไปไถ่ถามทุกข์สุข สร้างความสัมพันธ์ เมื่อลูกค้าอยากจะซื้อสวัสดิการใดเพิ่ม ก็จะนึกถึงเรา หรือแม้กระทั่งมีเบอร์ติดต่อของเราที่อัพเดท สามารถติดต่อได้ทันท่วงที

สำหรับลูกค้า ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้อัพเดทเบอร์โทรศัพท์ของตัวแทนของเรา เผื่อว่าเวลามีเหตุฉุกเฉิน จะได้ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับความคุ้มครองของเราได้ เพราะเดี๋ยวนี้ ตัวแทนสามารถตรวจสอบผลประโยชน์ของเรา จากหน้าเว็บไซต์ของบริษัทได้ทันที ขณะที่เดี๋ยวนี้ มีการติดต่อทางแอพพลิเคชั่น LINE ซึ่งสะดวกที่จะส่งรูปภาพหรือข้อความยาวๆให้กับตัวแทน เพื่อสอบถามรายละเอียดในเรื่องต่างๆได้ ดังนั้น การแวะไปเยี่ยมเยียนของตัวแทน จึงเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย

ถามว่า การทบทวนกรมธรรม์ควรจะเกิดขึ้นบ่อยขนาดไหน ผู้เขียนคิดว่าถ้าเราหมั่นตรวจสอบเป็นระยะทุกปีก็ดี เพราะเดี๋ยวนี้หลายคนเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เป็นว่าเล่น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรเกินห้าปี น่าจะมีการทบทวนกรมธรรม์สักครั้งหนึ่ง โดยผู้เอาประกันสามารถหยิบกรมธรรม์ขึ้นมา แล้วเปิดดูรายการความคุ้มครองในหน้าแรกของกรมธรรม์ ส่วนชื่อผู้รับประโยชน์จะมีอยู่ในสำเนาใบสมัครซึ่งอยู่ท้ายกรมธรรม์

สำหรับตัวแทนประกันชีวิต คุณมีหน้าที่ที่จะต้องไปรับเบี้ยประกันชีวิตทุกปีอยู่แล้ว จริงอยู่ว่า ปัจจุบันเราสามารถรับเบี้ยประกันชีวิตทางออนไลน์ โดยการโทรไปถามหมายเลขบัตรเครดิตแล้วให้บริษัทตัดเงินในบัตรเครดิต แบบเป็นประจำทุกปี หรือแบบตัดบัตรปีละครั้ง โดยผู้เอาประกันบอกรหัส OTP (One time password) ให้กับตัวแทน เพื่อขออนุมัติการตัดบัตรเครดิตปีนั้นๆ อย่างไรก็ดี การไปเยี่ยมเยียนผู้เอาประกันชีวิตถึงบ้านหรือสำนักงาน ย่อมสร้างโอกาสในการขายประกันชีวิตเพิ่มเติมได้ดีกว่า

ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเคยไปฟังวิทยากรชาวฟิลิปปินส์บรรยาย เขาบอกว่าวิธีที่ตัวแทนประกันชีวิตฟิลิปปินส์ใช้ในการขายกรมธรรม์เพิ่มเติมได้ง่ายที่สุดก็คือ การแวะไปทบทวนกรมธรรม์ให้ลูกค้า ดังนั้น ตัวแทนประกันชีวิตไม่ควรละเลยในการทำหน้าที่นี้ เพื่อเปิดโอกาสในการขยายตลาดของเราเองด้วย

ท่านทั้งหลายครับ ผู้เอาประกันชีวิตซื้อกรมธรรม์ เพื่อโอนย้ายความเสี่ยงให้บริษัทประกันชีวิต ขณะที่ตัวแทนประกันชีวิตต้องดูแลผลประโยชน์ของลูกค้าให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า เขาจะได้ซื้อประกันชีวิตเพิ่มเติมในอนาคต หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ละเลยที่จะร่วมมือกัน มันจะเกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย ผู้เอาประกันก็ไม่ได้รับการปรับปรุงผลประโยชน์ของตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กลายเป็นผู้ที่ได้รับการคุ้มครองต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น (underinsured) ขณะที่ตัวแทนประกันชีวิตก็อาจสูญเสียลูกค้าไปให้คู่แข่ง 

อย่าลืมว่า กรมธรรม์คือเงินสดก้อนหนึ่ง ที่จะส่งมอบให้กับเราในยามที่เราจำเป็นต้องใช้มันมากที่สุด ดังนั้น มันจึงมีค่าไม่ต่างกับสมุดธนาคารเล่มหนึ่งที่ต้องดูแลให้ดี และทำให้มันมีวงเงินเพียงพอที่จะใช้ในวันที่จำเป็นจริงๆครับ